ตอลิบานประกาศชัยชนะเหนือฝ่ายต่อต้านในหุบเขาปัญจชีร์ เท่ากับเข้าควบคุมอัฟกานิสถานเบ็ดเสร็จทั้งประเทศ ด้านอเมริกาเดินหน้าภารกิจทางการทูต ส่งรัฐมนตรีต่างประเทศเยือนกาตาร์เพื่อกระชับสัมพันธ์แนวร่วมพันธมิตร และไปจบที่การเป็นเจ้าภาพร่วมกับเยอรมนีเปิดประชุมเสมือนเพื่อหาทางกดดันให้ตอลิบานรักษาสัญญาในการยอมให้ชาวอัฟกันเดินทางออกนอกประเทศได้ตามที่ต้องการ
ภาพจากโซเชียลมีเดียเผยให้เห็นสมาชิกตอลิบานยืนอยู่หน้าประตูจวนผู้ว่าการจังหวัดปัญจชีร์ หลังการสู้รบดุเดือดกับแนวร่วมต่อต้านแห่งชาติอัฟกานิสถาน (เอ็นอาร์เอฟเอ) ที่นำโดยอามัด มาสซูด ผู้นำปัญจชีร์ ในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา
ซาบิฮุลเลาะห์ มูจาฮิด โฆษกตอลิบานทวิตเมื่อวันจันทร์ (6 ก.ย.) ว่า จังหวัดปัญจชีร์อยู่ภายใต้การควบคุมของ “รัฐเอมิเรตอิสลามแห่งอัฟกานิสถาน” โดยสมบูรณ์แล้ว ทั้งนี้เขาพูดถึงชื่อประเทศอย่างเป็นทางการของอัฟกานิสถานในยุคตอลิบานครองอำนาจ นอกจากนั้น โฆษกผู้นี้บอกว่า นักรบของศัตรูบางคนถูกสังหารขณะต่อสู้และบางส่วนหลบหนีไป
มูจาฮิดเสริมว่า ด้วยชัยชนะครั้งนี้ ตลอดจนความพยายามต่างๆ ครั้งล่าสุด อัฟกานิสถานได้หลุดพ้นจากวังวนของสงครามและประชาชนจะได้ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขและมีอิสระเสรี แต่เขาเตือนด้วยว่า ใครก็ตามที่พยายามก่อความไม่สงบจะถูกปราบปรามขั้นเด็ดขาด
ตอลิบานยังให้ความมั่นใจกับประชาชนในปัญจชีร์ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นชนกลุ่มน้อยที่ได้ต่อสู้กับตอลิบานเรื่อยมาตั้งแต่ที่กลุ่มนี้ปกครองอัฟกานิสถานรอบก่อนในช่วงปี 1996-2001 โดยยืนยันว่า พวกเขาจะไม่ถูกเลือกปฏิบัติหรือถูกแก้แค้น
อย่างไรก็ดี ยังไม่มีคำแถลงจากมาสซูด ที่เป็นผู้นำกองกำลังในปัญจชีร์ ซึ่งประกอบด้วยอดีตทหารในกองทัพแห่งชาติและหน่วยรบพิเศษของอัฟกานิสถาน ตลอดจนถึงนักรบท้องถิ่น
มีเพียงอาลี ไมซาม นาซารี หัวหน้าฝ่ายความสัมพันธ์กับต่างประเทศของเอ็นอาร์เอฟเอ ที่ออกมาแถลงตอบโต้ว่า การกล่าวอ้างชัยชนะของตอลิบานไม่เป็นความจริง และเอ็นอาร์เอฟเอยังคงต่อสู้อยู่ในจุดยุทธศาสตร์ทั้งหมดทั่วหุบเขาปัญจชีร์
อย่างไรก็ดี ก่อนหน้านี้ เมื่อวันอาทิตย์ (5) เอ็นอาร์เอฟเอยอมรับว่า สูญเสียอย่างหนักในการรบและเรียกร้องให้สองฝ่ายหยุดยิง อีกทั้งเผยว่า ฟาฮิม ดาชตี โฆษกหลักของกลุ่ม เสียชีวิตระหว่างการต่อสู้
ในอีกด้านหนึ่ง นานาชาตินำโดยสหรัฐฯ เตรียมพร้อมแนวทางทางการทูตเพื่อรับมือกับรัฐบาลใหม่ของตอลิบาน
โดยในวันจันทร์ แอนโทนี บลิงเคน รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ มีกำหนดเดินทางเยือนกาตาร์ ซึ่งถือเป็นทริปแรกของเขาหลังจากตอลิบานยึดอัฟกานิสถาน ทั้งนี้ เพื่อกระชับสัมพันธ์กับบรรดาพันธมิตรและแนวร่วมที่อาจสั่นคลอนไปบ้างจากภารกิจอพยพที่เต็มไปด้วยความวุ่นวายและยากลำบาก
กาตาร์ถือเป็นพันธมิตรสำคัญของอเมริกาในสงครามอัฟกานิสถาน โดยนอกจากเป็นที่ตั้งฐานทัพสำคัญของอเมริกาแล้ว กาตาร์ยังเป็นจุดเปลี่ยนเครื่องในปฏิบัติการอพยพประชาชนออกจากอัฟกานิสถานจำนวนถึง 55,000 คน หรือเกือบครึ่งของประชาชนที่กองกำลังนานาชาติที่นำโดยอเมริกา พาออกจากอัฟกานิสถานหลังจากตอลิบานเข้ายึดคาบูลสำเร็จอย่างง่ายดายเมื่อวันที่ 15 สิงหาคม
บลิงเคนเผยว่า การเยือนครั้งนี้มีจุดประสงค์เพื่อแสดงความขอบคุณต่อกาตาร์สำหรับความพยายามทั้งหมดในภารกิจอพยพ รวมทั้งพบกับชาวอัฟกันที่ได้รับการช่วยเหลือออกมา ตลอดจนหารือกับนักการทูตอเมริกันที่โยกย้ายจากคาบูลมาประจำที่โดฮาแทน
รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ ยังมีแผนหารือกับกาตาร์เกี่ยวกับความพยายามในการเปิดสนามบินคาบูลอีกครั้ง ซึ่งกาตาร์จะดำเนินการร่วมกับตุรกี โดยถือเป็นภารกิจสำคัญเพื่อให้นานาชาติสามารถส่งความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมให้แก่อัฟกานิสถาน รวมทั้งอพยพชาวอัฟกันกลุ่มเสี่ยงที่ยังตกค้างอยู่
จากนั้นในวันพุธ (8) บลิงเคนจะเดินทางไปยังฐานทัพอากาศของอเมริกาในแรมสไตน์ เยอรมนี ซึ่งเป็นสถานที่พักพิงชั่วคราวสำหรับชาวอัฟกานิสถานหลายพันคนก่อนที่จะเดินทางกลับอเมริกา
ในเยอรมนี บลิงเคนยังจะร่วมกับไฮโก มาส รัฐมนตรีต่างประเทศแดนดอยช์ เป็นเจ้าภาพจัดประชุมเสมือนกับรัฐมนตรี 20 ประเทศในฐานทัพอากาศแรมสไตน์ ซึ่งคาดว่าจะมีการหารือเกี่ยวกับการหาทางกดดันให้ตอลิบานรักษาสัญญาในการยอมให้ชาวอัฟกันเดินทางออกนอกประเทศได้ตามที่ต้องการ
อย่างไรก็ดี เจ้าหน้าที่สหรัฐฯ เผยว่า บลิงเคนไม่มีแผนใดๆ ที่จะพบกับผู้แทนตอลิบาน ซึ่งมีฐานการดำเนินการทางการทูตอยู่ในโดฮา
(ที่มา : เอเอฟพี, รอยเตอร์)