สหรัฐฯ ประกาศระงับภารกิจด้านการทูตในอัฟกานิสถาน โดยจะย้ายบุคลากรไปปฏิบัติงานจาก “กาตาร์” แทน ขณะเดียวกันก็รับปากว่าจะยังพยายามช่วยเหลือชาวอัฟกันที่ต้องการเดินทางออกนอกประเทศ แม้ทหารอเมริกันจะถอนกำลังพลออกมาแล้วก็ตาม
คำแถลงของ แอนโทนี บลิงเคน รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ มีขึ้นวานนี้ (30 ส.ค.) หลังจากที่เครื่องบินลำสุดท้ายของสหรัฐฯ เดินทางออกจากสนามบินคาบูล โดยทิ้งพลเมืองอัฟกันหลายพันคนที่เคยช่วยเหลือชาติตะวันตก และอาจมีคุณสมบัติเข้าเกณฑ์ที่จะได้รับการอพยพ เอาไว้เบื้องหลัง
ปฏิบัติการอพยพของอเมริกาสิ้นสุดลงก่อนกำหนดเส้นตายถอนทหาร 31 ส.ค. ขณะที่ประธานาธิบดี โจ ไบเดน แห่งสหรัฐฯ โดนสมาชิกพรรครีพับลิกันและคนในพรรคเดโมแครตด้วยกันเองวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักถึงการจัดการที่ผิดพลาดในอัฟกานิสถาน นับตั้งแต่นักรบตอลิบานสามารถรุกคืบยึดเมืองต่างๆ ได้อย่างรวดเร็ว จนกระทั่งเข้าถึงกรุงคาบูลได้ในที่สุด
บลิงเคน ซึ่งเพิกเฉยต่อบรรดานักข่าวที่ตะโกนถามคำถามหลายข้อ อธิบายว่าสหรัฐฯ จะยังคงปฏิบัติภารกิจด้านการทูต รวมถึงให้บริการด้านกงสุลและความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมต่ออัฟกานิสถานจากกรุงโดฮา เมืองหลวงของกาตาร์ โดยใช้ทีมเจ้าหน้าที่ซึ่งนำโดย เอียน แมคแครี รองหัวหน้าคณะทูตสหรัฐฯ ประจำอัฟกานิสถาน
“ปฏิสัมพันธ์รูปแบบใหม่ระหว่างสหรัฐฯ กับอัฟกานิสถานได้เริ่มขึ้นแล้ว... เราจะยังคงพยายามอย่างไม่ลดละที่จะให้ความช่วยเหลือแก่ชาวอเมริกัน, ชาวต่างชาติ และชาวอัฟกัน หากพวกเขาต้องการเดินทางออกจากอัฟกานิสถาน” บลิงเคน กล่าว
รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ ยอมรับว่า น่าจะยังมีชาวอเมริกันอีกกว่า 100 คนที่ยังติดค้างอยู่ในอัฟกานิสถานและต้องการอพยพ โดยวอชิงตันอยู่ระหว่างตรวจสอบจำนวนที่ชัดเจน ซึ่งที่ผ่านมาสหรัฐฯ ได้พาพลเมืองออกจากอัฟกานิสถานแล้วมากกว่า 6,000 คน
พลเมืองอัฟกันและชาวต่างชาติกว่า 122,000 คนได้ขึ้นเครื่องบินหนีตายออกจากอัฟกานิสถานตั้งแต่วันที่ 14 ส.ค. หรือ 1 วันก่อนที่กลุ่มตอลิบานจะยึดประเทศได้อย่างเบ็ดเสร็จ
สำหรับอนาคตของสนามบินคาบูลซึ่งเป็นประตูเชื่อมอัฟกานิสถานกับโลกภายนอกนับจากวันนี้ยังคงไม่แน่นอน ขณะที่ บลิงเคน เผยว่าสหรัฐฯ อยู่ระหว่างศึกษาช่องทางบกที่อาจจะนำชาวอเมริกันและพลเมืองอัฟกันบางส่วนออกมาได้
ที่มา: รอยเตอร์