ตอลิบานแถลงข่าวอย่างเป็นทางการครั้งแรกเมื่ออังคาร (17 ส.ค.)หลังเข้ายึดกรุงคาบูล แสดงจุดยืนต้องการมีความสัมพันธ์แบบสันติกับประเทศอื่นๆ ให้ความเคารพต่อสิทธิสตรีภายในกรอบของกฎหมายอิสลาม และประกาศ "การนิรโทษกรรม" สำหรับชาวอัฟกันทุกคนซึ่งเคยร่วมงานกับรัฐบาลพลเรือน ขณะที่สหรัฐฯ เรียกร้องให้ตอลิบานทำตามสัญญาดังกล่าว
คำแถลงของตอลิบาน ยังขาดแคลนรายละเอียดต่างๆ แต่บ่งชี้ว่าพวกเขาจะใช้แนวทางที่โอนอ่อนกว่าครั้งที่ปกครองอัฟกานิสถานเมื่อ 20 ปีก่อน ทั้งนี้ การแถลงข่าวอย่างเป็นทางการครั้งแรกนับตั้งแต่ยึดกรุงคาบูลครั้งนี้ มีขึ้นในขณะที่สหรัฐฯ และพันธมิตรตะวันตกกลับมาอพยพผู้แทนทูตและพลเรือนอีกครั้งในวันเดียวกัน หลังต้องระงับไปช่วงสั้นๆ ท่ามกลางสถานการณ์ความยุ่งเหยิงที่สนามบินในกรุงคาบูล ผู้คนชาวอัฟกันจำนวนมากไหลบ่าลงไปยังรันเวย์
ในขณะที่เร่งดำเนินการอพยพ อีกด้านหนึ่งบรรดาชาติมหาอำนาจต่างชาติก็กำลังประเมินด้วยเช่นกัน ต่อแนวทางตอบสนองต่อสถานการณ์ที่เปลี่ยนไปในพื้นที่ หลังการล่มสลายของกองกำลังอัฟกานิสถานภายในเวลาไม่กี่วัน ท่ามกลางความคาดหมายของหลายฝ่ายว่าสิทธิของสตรีอัฟกันอาจถูกกัดกร่อนอย่างรวดเร็วภายใต้การปกครองของตอลิบาน
ระหว่างการปกครองในช่วงปี 1996-2001 ภายใต้ชะรีอะฮ์ (กฎหมายอิสลาม) ตอลิบานห้ามผู้หญิงไปทำงานและมีบทลงโทษต่างๆ ในนั้นรวมถึงปาหินต่อหน้าสาธารณะ เด็กผู้หญิงไม่ได้รับอนุญาตให้ไปโรงเรียน และสตรีจำเป็นต้องสวมชุดคลุมปกปิดทั้งตัว (บูร์กา) ยามออกมาข้างนอก
"เราไม่ต้องการศัตรูภายในหรือภายนอก" ซาบิฮุลเลาะห์ มูจาฮิด โฆษกหลักของตอลิบานระบุ พร้อมเผยว่า "ผู้หญิงจะได้รับอนุญาตให้ทำงานและศึกษาเล่าเรียน จะเคลื่อนไหวได้อย่างคล่องแคล่วในสังคม แต่ภายใต้กรอบของอิสลาม"
สเตฟาน ดูจาร์ริค โฆษกสหประชาชาติ ให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าวในนิวยอร์ก เกี่ยวกับเรื่องนี้ ว่า "เราจำเป็นต้องดูก่อนว่าแท้จริงแล้วสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นคืออะไร และผมคิดว่าเราจำเป็นต้องเห็นการกระทำต่างๆ ในพื้นที่ก่อนว่ามีการทำตามคำสัญญาหรือไม่"
ส่วนสหภาพยุโรประบุว่า พวกเขาจะให้ความร่วมมือกับรัฐบาลอัฟกานิสถาน ตามหลังการหวนคืนอำนาจของตอลิบาน หากว่านักรบกลุ่มนี้ให้ความเคารพต่อสิทธิขั้นพื้นฐาน ในนั้นรวมถึงสิทธิสตรี
มูจาฮิดระบุต่อไปว่า ทางกลุ่มจะไม่หาทางแก้แค้นอดีตทหารและสมาชิกของรัฐบาลที่ได้รับการสนับสนุนจากตะวันตก และจะนิรโทษกรรมให้ทหารของอดีตรัฐบาลอัฟกานิสถาน เช่นเดียวกับบรรดาพนักงานสัญญาจ้างและล่ามที่ทำงานให้กองกำลังระหว่างประเทศ
"ไม่มีใครทำร้ายคุณ ไม่มีใครเคาะประตูบ้านคุณ" เขากล่าว และระบุมีความแตกต่างอย่างมากระหว่างตอลิบานในปัจจุบันกับเมื่อ 20 ปีก่อน พร้อมบอกว่าสื่อมวลชนเอกชนยังคงสามารถปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างเสรีและอิสระในอัฟกานิสถาน และทางตอลิบานมีความไว้วางใจสื่อมวลชนภายใต้กรอบวัฒนธรรมของสื่อ
นอกจากนี้แล้ว ทาง มูจาฮิด ยังเรียกร้องให้ครอบครัวชาวอัฟกานิสถานที่อยู่ ณ สนามบิน พยายามหลบหนีออกนอกประเทศ ให้เดินทางกลับบ้านและเน้นย้ำว่าจะไม่มีอะไรทำร้ายพวกเขา
อย่างไรก็ตาม เยนส์ สโตลเทนเบิร์ก เลขาธิการนาโต้ระบุว่า ตอลิบานควรปล่อยให้ทุกคนที่ต้องการออกนอกประเทศเดินทางออกมา พร้อมระบุเป้าหมายของนาโต้คือช่วยสร้างรัฐที่สามารถเติบโตได้ในอัฟกานิสถาน
นาโต้บอกด้วยว่า ตอลิบานไม่ควรปล่อยให้อัฟกานิสถานกลายเป็นแหบ่งบ่มเพาะก่อการร้ายอีกครั้ง พร้อมเตือนว่านาโต้ยังคงมีแสนยานุภาพทางทหารที่สามารถโจมตีกลุ่มก่อการร้ายไหนๆ จากระยะไกล
การตัดสินใจของประธานาธิบดีโจ ไบเดน จากพรรคเดโมแครต ซึ่งเดินตามข้อตกลงที่เห็นพ้องโดยอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ จากรีพับลิกัน ในการถอนทหารทั้งหมดออกจากอัฟกานิสถาน เรียกเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวางทั้งในสหรัฐฯ และบรรดาพันธมิตรของอเมริกา
ประธานาธิบดีฟรังก์-วัลเทอร์ ชไตน์ไมเออร์ แห่งเยอรมนี ระบุว่า "ภาพแห่งความสิ้นหวังที่สนามบินคาบูล เป็นเรื่องน่าอดสูของการเมืองตะวันตก" อ้างถึงสถานการณ์ความสับสนอลหม่านบนรันเวย์เมื่อวันจันทร์ (16 ส.ค.)
เมื่อถูกถามถึงแนวทางที่วอชิงตันจะทำให้ตอลิบานทำตามคำสัญญาเคารพสิทธิสตรี ทาง เจค ซุลลิแวน ที่ปรึกษาด้านความมั่นคงแห่งชาติสหรัฐฯ ระบุว่า ทางเลือกต่างๆ เหล่านั้นมีทั้งคว่ำบาตร ร่วมกันประณามของนานาชาติและโดดเดี่ยวพวกเขา
เนด ไพรซ์ โฆษกกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ในวันอังคาร (17 ส.ค.) เรียกร้องให้ตอลิบานทำตามคำสัญญาที่ให้ไว้หลังเข้าควบคุมอัฟกานิสถาน หลังนักรบกลุ่มนี้ประกาศว่าจะเคารพสิทธิของพลเมือง ในนั้นรวมถึงผูู้หญิง "ถ้าตอลิบานบอกว่าพวกเขาจะให้ความเคารพต่อสิทธิพลเมือง เราจะคอยดูว่าพวกเขาจะยึดมั่นและทำตามคำสัญญาในคำประกาศนั้นหรือไม่"
(ที่มา : รอยเตอร์/เอเอฟพี)