สหรัฐฯ อาจทิ้งบรรดาชาวอัฟกันที่เคยช่วยงานในสงครามที่ยืดเยื้อยาวนาน 20 ปี ไว้เบื้องหลังเป็นส่วนใหญ่ เช่นเดียวกับครอบครัวของคนเหล่านั้น เนื่องจากพลเมืองอเมริกาคือเป้าหมายสำคัญในปฏิบัติการอพยพทางอากาศ ซึ่งสิ้นสุดเมื่อช่วงต้นสัปดาหที่ผ่านมา จากการเปิดเผยของเจ้าหน้าที่ระดับสูงกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ในวันพุธ (1 ก.ย.) ตามรายงานของสำนักข่าวรอยเตอร์
เที่ยวบินทหารสหรัฐฯ เที่ยวสุดท้ายออกเดินทางจากกรุงคาบูลเมื่อวันจันทร์ (30 ส.ค.) สิ้นสุดปฏิบัติการอพยพที่พบเห็นผูุ้คนมากกว่า 123,000 คนถูกพาออกจากอัฟกานิสถานในช่วงเวลาไม่ถึง 2 สัปดาห์
ประธานาธิบดีโจ ไบเดน แห่งสหรัฐฯ ให้สัญญาว่าจะหาทางช่วยพลเมืองอเมริกา 100 ถึง 200 คนที่ต้องการออกมา เดินทางออกจากอัฟกานิสถาน เช่นเดียวกับกลุ่มชาวอัฟกันที่ตกอยู่ในความเสี่ยงสูงอีกจำนวนหนึ่ง ซึ่งมีจำนวนมากกว่า ในนั้นรวมถึงอดีตล่ามของทหารสหรัฐฯ
เมื่อถูกถามว่า มีผู้ยื่นขอเข้าโครงการวีซ่าเข้าเมืองพิเศษ (SIV) สำหรับพันธมิตรชาวอัฟกันและครอบครัวมากน้อยแค่ไหนที่ยังอยู่ในกรุงคาบูล เจ้าหน้าที่ระดับสูงของกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ระบุไม่อาจประมาณการได้
"แต่ผมอยากบอกว่าคงเป็นส่วนใหญ่ของพวกเขา หากดูจากข้อมูลเรื่องเล่าเกี่ยวกับจำนวนคนที่เราสามารถให้การสนับสนุนได้" เจ้าหน้าที่รายนี้กล่าว อย่างไรก็ตาม มีผู้ยื่นข้อเข้าโครงการ SIV ราว 2,000 คน ถูกพาตัวมายังสหรัฐฯ ตั้งแต่ก่อนหน้าปฏิบติการอพยพเริ่มต้นขึ้นในช่วงกลางเดือนสิงหาคม
ความพยายามในเบื้องต้นในการให้ความสำคัญอพยพชาวอัฟกันเหล่านี้ ถูกบั่นทอนจากความกังวลด้านความปลอดภัย ณ บริเวณประตูทางเข้าของสนามบินและความยากลำบากในการออกหนังสือรับรองแก่พวกเขา
เจ้าหน้าที่รายนี้บอกว่า เจ้าหน้าที่สหรัฐฯ มีพันธะทางกฎหมายที่ต้องช่วยพลเมืองอเมริกาที่ติดค้างอยู่ในคาบูลและให้ความสำคัญลำดับต้นๆ ในการพาพลเมืองอเมริกาเดินทางออกมา ทั้งนี้ จากข้อมูลของกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ พบว่า มีพลเมืองอเมริกาบนเที่ยวบินต่างๆ ที่บินออกจากคาบูล หลังจากวันที่ 14 สิงหาคม ราวๆ 5,500 คน
(ที่มา : รอยเตอร์)