ออสเตรเลียยังคงยึดมั่นอยู่กับยุทธศาสตร์ล็อกดาวน์ของตนในการต่อสู้กับเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ จนกว่าประชากรอย่างน้อย 70% ของประเทศได้ฉีดวัคซีนโควิด-19 อย่างครบโดสแล้ว หลังจากนั้นแดนจิงโจ้ก็จะต้องเริ่มต้นการใช้ชีวิตอยู่กับไวรัสร้ายนี้ นายกรัฐมนตรีสกอตต์ มอร์ริสัน แถลงในวันอาทิตย์ (22 ส.ค.)
ออสเตรเลียบอกว่า ในวันอาทิตย์พบผู้ติดเชื้อรายใหม่ 914 รายในรอบ 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา กลายเป็นสถิติใหม่ในเรื่องจำนวนเคสติดเชื้อรายวันของประเทศ ขณะที่รัฐทางภาคใต้และภาคตะวันออก อย่างนิวเซาท์เวลส์ วิกตอเรีย รวมทั้งพื้นที่เมืองหลวงแคนเบอร์รา ยังคงมีการใช้มาตรการล็อกดาวน์อันเข้มงวด
“คุณไม่สามารถใช้ชีวิตอยู่กับการล็อกดาวน์ไปตลอดกาลหรอก เมื่อถึงบางจุดบางช่วง คุณก็จำเป็นต้องเปลี่ยนเกียร์ นั่นก็คือ เมื่อทำ (ฉีดวัคซีน) ไปได้ 70%” มอร์ริสันกล่าวในรายการสัมภาษณ์ทางทีวีของบรรษัทแพร่ภาพกระจายเสียงออสเตรเลีย (เอบีซี)
การล็อกดาวน์คือส่วนประกอบสำคัญที่สุดส่วนหนึ่งในยุทธศาสตร์ของรัฐบาลกลางแดนจิงโจ้ ที่จะสกัดการระบาดให้อยู่หมัด จนกว่าการฉีดวัคซีนทำได้ถึงระดับ 70% และถ้าตัวเลขขึ้นไปอีกถึง 80% ออสเตรเลียก็จะค่อยๆ เปิดพรมแดนอีกครั้งหนึ่ง
แต่มอร์ริสันระบุชัดเจนว่า ได้ละทิ้งยุทธศาสตร์โควิดต้องเหลือศูนย์ ซึ่งใช้กันมาตั้งแต่โรคระบาดใหญ่คราวนี้เริ่มต้นขึ้นมา เมื่อเขากล่าวว่า เป็นไปไม่ได้อย่างยิ่งสำหรับออสเตรเลียที่จะไปให้ถึงระดับผู้ติดเชื้อเท่ากับศูนย์เสียก่อน แล้วค่อยผ่อนปรนการจำกัดเข้มงวด
“ล็อกดาวน์ไม่ใช่เป็นหนทางที่ยั่งยืนในการรับมือกับไวรัสนี้ นี่คือเหตุผลที่ทำไมเราต้องกำหนดหลักหมายที่ 70% และ 80% เอาไว้ เพื่อที่เราจะได้สามารถเริ่มต้นใช้ชีวิตอยู่กับไวรัสได้” เขากล่าวต่อ
เวลานี้ราว 60% ของประชากรทั้งประเทศ 25 ล้านคนทีเดียวซึ่งต้องอยู่ใต้มาตรการล็อกดาวน์ ขณะที่คำสั่งให้อยู่กับบ้าน ซึ่งบ่อยครั้งใช้กันยืดเยื้อเป็นแรมเดือน ได้กัดกร่อนความอดทนของผู้คนจำนวนมาก
ตำรวจในนิวเซาท์เวลส์ ที่เป็นรัฐซึ่งมีประชากรมากที่สุดของแดนจิงโจ้ แถลงว่า ในรอบ 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา พวกเขาสั่งปรับผู้ที่ละเมิดคำสั่งทางสาธารณสุขต่างๆ ไป 940 รายทีเดียว ขณะที่สื่อรายงานว่า มีผู้คนหลายร้อยคนรวมตัวกันออกมาประท้วงมาตรการเข้มงวดทั้งหลายเมื่อวันอาทิตย์ (22) ที่บริเวณติดต่อกับพรมแดนของรัฐควีนส์แลนด์
เรื่องนี้เกิดขึ้นภายหลังตำรวจได้จับกุมผู้คนหลายร้อยรายในวันเสาร์ (21) ระหว่างการชุมนุมเดินขบวนต่อต้านการล็อกดาวน์ ซึ่งเกิดขึ้นทั้งที่ซิดนีย์ และเมลเบิร์น เมืองเอกของ 2 รัฐที่มีประชากรมากที่สุด อันได้แก่ นิวเซาท์เวลส์ และวิกตอเรีย ซึ่งต่างอยู่ใต้คำสั่งล็อกดาวน์เข้มข้น
ปรากฏว่าแม้ใช้ความพยายามในการสกัดอย่างดุดันขึ้น แต่นิวเซาท์เวลส์ยังคงได้เห็นเคสติดเชื้อใหม่ 830 รายในวันอาทิตย์ ส่วนเมืองหลวงแคนเบอร์รา มี 19 ราย รวมแล้วจำนวนเคสที่แสดงอาการในทั่วประเทศอยู่ที่เกือบๆ 12,000 คน
สำหรับวิกตอเรีย รัฐทางตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งกำลังอยู่ในภาวะล็อกดาวน์เป็นรอบที่ 6 ตั้งแต่โรคระบาดใหญ่เริ่มต้นขึ้น รายงานว่าเจอเคสที่ติดต่อในท้องถิ่นเอง 65 ราย ซึ่งถือเป็นสถิติสูงสุดใหม่
เวลานี้มีชาวออสเตรเลียอายุสูงกว่า 16 ปีเพียงแค่ราวๆ 30% ที่ได้รับวัคซีนครบโดสแล้ว ข้อมูลของกระทรวงสาธารณสุขแสดงให้เห็นเช่นนี้ในวันเสาร์ (21) สภาพอย่างนี้ที่สำคัญเนื่องจากวัคซีนของไฟเซอร์อยู่ในภาวะขาดแคลน ขณะที่วัคซีนของแอสตร้าเซนเนก้า เจอกระแสสาธารณชนไม่ค่อยไว้วางใจ
อย่างไรก็ดี ถึงอยู่ในช่วงการระบาดเป็นระลอกที่ 3 ซึ่งเคสส่วนใหญ่ป็นตัวกลายพันธุ์ เดลตา แต่จำนวนผู้ป่วยโควิด-19 ของออสเตรเลียยังคงถือว่าค่อนข้างต่ำ นั่นคือมีผู้ป่วยสะสมไม่ถึง 44,000 ราย และเสียชีวิต 981 คน
(ที่มา : รอยเตอร์)