(เก็บความจากเอเชียไทมส์ WWW.asiatimes.com)
China clamps down as Covid surges far and wide
by Frank Chen
05/08/2021
ทางการจีนประกาศบังคับใช้ทั้งมาตรการจำกัดควบคุมการเดินทาง, การตรวจหาเชื้อในหมู่มวลชนอย่างกว้างขวาง, และการล็อกดาวน์เป็นบางส่วน ขณะที่ตัวกลายพันธุ์ “เดลตา” ทำให้เกิดการติดเชื้อแพร่ระบาดเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในทั่วประเทศ
โควิด-19 เวลานี้แพร่ระบาดเข้าไปในพื้นที่มณฑลต่างๆ ประมาณครึ่งหนึ่งของจีนแล้ว (ถึงแม้จำนวนผู้ติดเชื้อแต่ละท้องที่ยังถือว่าต่ำมาก เมื่อเปรียบเทียบกับชาติอื่นๆ –ผู้แปล) ทำให้พวกเจ้าหน้าที่รับผิดชอบประกาศจำกัดการเคลื่อนไหวของประชาชนทั่วทั้งประเทศ ขณะเดียวกันก็หวนกลับไปใช้พวกมาตรการทดสอบหาเชื้อในหมู่มวลชนอย่างกว้างขวาง ตลอดจนล็อกดาวน์พื้นที่ทั่วทั้งเมืองในหลายๆ ท้องที่ซึ่งครอบคลุมประชากรเป็นล้านๆ คน อย่างที่ได้เคยนำออกมาใช้เมื่อตอนไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ปะทุขึ้นมาครั้งแรกตอนช่วงต้นปี 2020
การขนส่งสาธารณะถูกจำกัดควบคุมในพื้นที่ซึ่งเกิดการระบาดย่ำแย่ที่สุดรวม 144 พื้นที่ ซึ่งก็รวมทั้งในกรุงปักกิ่ง ที่มีรายงานว่าเกิดเคสติดเชื้อใหม่อย่างน้อยที่สุด 3 รายเมื่อวันพุธ (4 ส.ค.) เวลาเดียวกัน ทางการจีนยังประกาศระงับการออกเอกสารการเดินทางให้แก่ประชาชนที่ต้องการเดินทางไปต่างประเทศ เนื่องจากกลัวเกรงว่าพวกเขาอาจจะนำเอาไวรัสร้ายกลับมาเมื่อเดินทางกลับแดนมังกร
การสั่งห้ามเดินทางไปต่างประเทศในทางพฤตินัยครั้งล่าสุดของปักกิ่งเช่นนี้ เป็นสิ่งที่ตัดแย้งกับคำสั่งบังคับกักกันโรคผู้ที่เพิ่งเดินทางมาจากจีนแผ่นดินใหญ่ ซึ่งตลอดทั่วทั้งฮ่องกงและมาเก๊าได้รื้อฟื้นนำกลับมาบังคับใช้กันอีกคำรบหนึ่ง เนื่องจากเขตบริหารพิเศษทั้งสองต่างกำลังยกระดับมาตรการป้องกันตัวเองเพื่อสกัดกั้นไม่ให้มีเคสติดเชื้อใหม่ๆ แทรกตัวเข้ามา มาเก๊านั้นยังกำลังสั่งตรวจหาเชื้อในผู้พำนักอาศัยของตนทั้งหมดทุกคนทีเดียว ภายหลังมีนักศึกษาผู้หนึ่งติดไวรัสขณะอยู่ในแผ่นดินใหญ่ และแพร่เชื้อไปติดพ่อแม่ของเธอหลังเธอกลับมาเก๊า
มีการตั้งคำถามขึ้นมาด้วยความหวั่นผวาว่า ความสำเร็จในการปิดล้อมสกัดกั้นโควิด-19 อย่างอยู่หมัดก่อนหน้านี้ของจีน กำลังถูกลบล้างไปหมดอย่างไม่เป็นท่าเสียแล้วหรือ อู่ฮั่น ซึ่งเป็นจุดเริ่มแรกเกิดการระบาดของไวรัส จนต้องมีการปิดเมืองเข้มงวดเป็นเวลา 76 วันระหว่างเดือนมกราคมถึงเมษายนปีที่แล้ว ทำท่าว่าอาจต้องหวนกลับไปใช้มาตรการล็อกดาวน์บางส่วน หลังจากพบผู้ติดเชื้ออย่างน้อยที่สุด 20 รายตั้งแต่วันจันทร์ (2 ส.ค.) เป็นต้นมา
การที่รัฐบาลดำเนินการปลุกระดมมวลชนอย่างมากมายกว้างขวางเช่นนี้ ทั้งๆที่มีจำนวนผู้ติดเชื้อนิดเดียว กำลังทำให้เกิดความระแวงขึ้นมาใหม่ว่าทางการอาจจะไม่ได้เปิดเผยขนาดขอบเขตที่แท้จริงของการระบาด ไม่ว่าในอู่ฮั่นหรือในนครใหญ่อื่นๆ แบบแผนวิธีการต่อสู้กับไวรัสร้ายของปักกิ่งยังคงเป็นการประยุกต์ใช้ยุทธศาสตร์ “ความอดกลั้นเป็นศูนย์” (zero tolerance) กับไวรัส นั่นคือมุ่งกำจัดกวาดล้างให้หมดสิ้นไป ทว่านี่อาจจะยากลำบากขึ้นมากในการนำมาปฏิบัติ ในเมื่อเวลานี้ต้องต่อสู้กับตัวกลายพันธุ์ “เดลตา” ซึ่งติดต่อแพร่ระบาดได้ง่ายมาก
โพสต์บนสื่อสังคม “วีแชต” (WeChat) และ “เว่ยปั๋ว” (Weibo) ซึ่งมีเนื้อหาถกเถียงกันเกี่ยวกับจำนวนผู้ติดเชื้อจริงๆ ที่น่าจะเป็นไปได้ของจีน เมื่อเปรียบเทียบกับตัวเลขซึ่งเป็นที่ยอมรับของทางการ ปรากฏว่าได้ถูกเซนเซอร์อย่างรวดเร็ว อย่างไรก็ตาม เหรินหมินรึเป้า (พีเพิลส์เดลี่) ปากเสียงอย่างเป็นทางการของพรรคคอมมิวนิสต์จีนก็ตักเตือนบรรดาผู้ปฏิบัติงานว่า อย่าได้เก็บกักบิดเบี้ยวข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับการระบาดในเขตท้องที่ของพวกตน
ในวันพุธ (4 ส.ค.) คณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (National Health Commission หรือ NHC) ของจีน แถลงว่าเคสติดเชื้อภายในท้องถิ่นเองในรอบ 24 ชั่วโมงที่ผ่านมามีจำนวน 62 ราย (ดูเพิ่มเติมได้ที่ http://www.nhc.gov.cn/xcs/yqfkdt/202108/7df2b123c2b74683a43afa906b9e3839.shtml) ต่ำลงนิดหน่อยจาก 71 รายซึ่งรายงานกันในวันอังคาร (3 ส.ค.) ที่กลายเป็นตัวเลขผู้ติดเชื้อในรอบ 1 วันสูงที่สุดนับตั้งแต่เดือนมกราคมปีนี้เป็นต้นมา คาดหมายกันว่าจำนวนผู้ติดเชื้อซึ่งเป็นที่รับรู้กันจะทะลุหลัก 500 รายในไม่ช้า ขณะที่กำลังมีการตรวจหาเชื้อกันตามเมืองใหญ่จำนวนมากทั่วประเทศ
เกือบครึ่งหนึ่งของผู้ติดเชื้อรายใหม่ ตรวจพบกันในมณฑลเจียงซู โดยที่ หนานจิง (นานกิง) เมืองเอกของมณฑลนี้เองซึ่งถูกประณามว่าเกิดการหย่อนยานในมาตรการระมัดระวังป้องกันในเวลารับเที่ยวบินจากต่างประเทศ จึงเป็นเหตุให้การระบาดระลอกนี้เริ่มต้นขึ้นมา และเวลานี้กำลังแพร่กระจายไปทั่วประเทศแล้ว
เชื่อกันว่าขณะนี้เชื้อจาก หนานจิง ซึ่งเป็นตัวกลายพันธุ์เดลตา ได้ระบาดไปยังมณฑลต่างๆ ทั้ง หูหนาน, หูเป่ย, ซานตง, อิ๋ว์นหนาน (ยูนนาน), เหอหนาน, และฝู่เจี้ยน (ฮกเกี้ยน) ปัจจุบันมี 17 มณฑลแล้วที่กำลังใช้มาตรการกักกันโรคและแยกผู้ต้องสงสัยติดเชื้อจำนวนรวมกันมากกว่า 1 ล้านคน โดยเป็นผู้ที่เดินทางผ่านหนานจิงตั้งแต่เดือนกรกฎาคมเป็นต้นมา หรือไม่ก็เป็นผู้สัมผัสใกล้ชิดกับการติดเชื้อหรือเป็นผู้สัมผัสความเสี่ยงสูงซึ่งเชื่อมโยงกับนครแห่งนั้น
ก่อนหน้านี้จีนไม่ค่อยมีนครหรือมณฑลตั้งแต่เหนือจรดใต้สักกี่แห่งนักแล้วที่ต้องสาละวนนำตัวเองเข้าสู่โหมดสู้รบและประกาศใช้มาตรการต่อสู้โรคระบาดกันอีกครั้ง เนื่องจากพื้นที่ส่วนใหญ่ของประเทศสามารถพิชิตไวรัสร้ายได้ และดำเนินการเปิดกิจกรรมทางเศรษฐกิจขึ้นมาใหม่ รวมทั้งรื้อฟื้นการเดินทางภายในประเทศกันมาตั้งแต่ในช่วงไตรมาส 2 ของปี 2020
อันที่จริงหลังจากตอนนั้นมา ก็มีการติดต่อแพร่ระบาดกันบ้างเป็นครั้งคราวอยู่เหมือนกัน ทว่าเป็นเคสที่ส่วนใหญ่แล้วจำกัดอยู่ภายในเมืองแห่งสองแห่ง ผิดกับเวลานี้ ซึ่งแทร็กเกอร์ตรวจจับติดตามการระบาดของ NHC ระบุว่ามีชุมชน 4 แห่ง ซึ่งรวมทั้งในเมืองหนานจิง และในเมืองเจิ้งโจวด้วย เป็นพื้นที่ความเสี่ยงสูงยิ่งยวด จนต้องใช้มาตรการล็อกดาวน์อย่างเต็มที่ไม่มีกำหนด นอกจากนั้นมีพื้นที่อื่นๆ อีกอย่างน้อยที่สุด 168 พื้นที่ทั่วประเทศ ในจำนวนนี้ 2 แห่งอยู่ในปักกิ่ง และแห่งหนึ่งอยู่ในเซี่ยงไฮ้ ซึ่งถูกประทับตราว่า “มีความเสี่ยงระดับปานกลาง”
ใน 159 พื้นที่ซึ่งถูก NHC ขึ้นเครื่องหมายธงแดงเอาไว้นั้น ไม่อนุญาตให้ใครออกมาข้างนอกเลย โดยที่มีตำรวจไปวางแนวปิดกั้นเพื่อตัดขาดไม่ให้เชื้อระบาดออกไปได้
เมื่อวันอังคาร (3 ส.ค.) สำนักข่าวซินหัวเปิดเผยว่า ทางการเทศบาลนครปักกิ่งได้เรียกร้องให้ผู้ดำเนินกิจการรถไฟหยุดขายตั๋วให้แก่ผู้โดยสารจากหนานจิงและจากจุดฮอตสปอตอื่นๆ อย่างเช่น เจิ้งโจว, เสิ่นหยาง, ต้าเหลียน, ฉางซา, เฉิงตู, และอื่นๆ ทางด้านสนามบินแห่งหลัก 2 แห่งของปักกิ่งก็กำลังลดเที่ยวบินจากนครเหล่านี้เช่นกัน
สิ่งที่ตอกย้ำให้เห็นว่าภัยคุกคามกำลังเพิ่มสูงขึ้นทุกที ได้แก่การที่ปักกิ่งจัดส่ง “หน่วยบดขยี้” ของตนออกสู่แนวหน้าแล้ว ทั้งนี้ รองนายกรัฐมนตรี ซุน ชุนหลาน ของจีน ซึ่งเป็นตัวหลักของปักกิ่งในการควบคุมสยบโควิด โดยเธอพำนักอยู่ในเมืองอู่ฮั่นนานเป็นเดือนๆ และบัญชาการการสู้รบกับไวรัสร้ายของนครแห่งนั้นเมื่อช่วงต้นปี 2020 ขณะนี้ได้บินสู่เมืองหนานจิงแล้วตั้งแต่ตอนต้นเดือนสิงหาคมนี้
กล่าวกันว่ากำหนดการเดินทางของ ซุน นั้นครอบคลุมเมืองเจิ้งโจว และมณฑลหูเป่ย ด้วย
สื่อของรัฐยังกำลังขอร้องประชาชนให้หลีกเลี่ยงการเดินทางไปไหนไกลๆ หรือแม้กระทั่งการเดินทางออกไปนอกเขตเมืองที่พำนักอาศัยอยู่ ปกติแล้วช่วงฤดูร้อนเช่นขณะนี้คือเวลาแห่งการเดินทางท่องเที่ยวภายในประเทศ โดยที่มีผู้คนเป็นจำนวนหลายร้อยล้านคนจากเมืองใหญ่ต่างๆ ไปพักผ่อนกันตามภูมิภาคไกลโพ้น แต่จากการที่มีเที่ยวบินลดน้อยลงรวมทั้งออกจากเมืองได้ลำบากขึ้น จึงเป็นสิ่งที่ทำให้งานกร่อย ครั้งสุดท้ายที่ปักกิ่งแนะนำไม่ให้ประชาชนออกเดินทางไกล ก็คือระหว่างเทศกาลวันหยุดตรุษจีนเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา
น.พ.จาง เหวินหง หนึ่งในผู้เชี่ยวชาญโรคทางเดินหายใจระดับท็อปของจีน และเป็นสมาชิกคนหนึ่งของคณะกรรมการที่ปรึกษาว่าด้วยโรคโควิดที่ปักกิ่งแต่งตั้งขึ้นมา กล่าวยอมรับอย่างตรงไปตรงมาในบล็อกของเขาว่า พวกวัคซีนผลิตในท้องถิ่นของจีนเองซึ่งเวลานี้ถูกนำไปฉีดให้ชาวจีนกว่า 1,000 ล้านคนแล้วนั้น “อาจไม่ช่วยให้บรรลุ” เป้าหมายเดิมที่ตั้งเอาไว้ว่าจะทำให้การติดเชื้อเหลือศูนย์ และทำให้ไวรัสพ่ายแพ้ปราชัยไป
จาง ซึ่งเป็นผู้อำนวยการของศูนย์การแพทย์โรคติดเชื้อแห่งชาติ (National Infectious Disease Medical Center) ที่ตั้งอยู่ในเมืองเซี่ยงไฮ้ เสนอแนะว่าจีนอาจจะต้องโยนทิ้งเป้าหมายที่จะให้เคสผู้ติดเชื้อเหลือศูนย์ และหันมาเรียนรู้เพื่อ “อยู่กับโควิด” อย่างกรณีที่เกิดขึ้นในโลกตะวันตก โดยที่มีสหราชอาณาจักรและประเทศอื่นๆ กำลังเลือกที่จะเปิดประตูกันอีกครั้ง ถึงแม้ยังคงมีเคสใหม่ๆ เพิ่มขึ้นอย่างสม่ำเสมอ
เขาเน้นว่า พวกมาตรการจำกัดเข้มงวดทั้งหลายตั้งแต่เรื่องการปิดเมืองปิดพื้นที่ ไปจนถึงการตรวจหาเชื้อกันทั่วทั้งเมือง ตลอดจนการปิดชายแดนแบบปิดตาย เหล่านี้เป็นสิ่งซี่งไม่สามารถที่จะคงเอาไว้อย่างไม่มีกำหนด
“จีนจะต้องเปิดพรมแดนของตน และการติดเชื้อก็มีหวังจะต้องพุ่งสูงขึ้นตามมา ... กุญแจสำคัญอยู่ที่การปรับเปลี่ยนโฟกัสจากการมุ่งกำจัดการติดเชื้อให้หมดสิ้นราบคาบทั้งหมด ไปเป็นการนำเอาวัคซีนที่ดียิ่งขึ้นออกมาใช้งาน, การสร้างศักยภาพทางการแพทย์ให้มากขึ้น, และการลดความเสี่ยงของเคสอาการหนักและเคสการเสียชีวิต เพื่อให้การดำเนินชีวิตของประชาชน และการเดินทางอย่างเป็นปกติ ตลอดจนธุรกิจต่างๆ สามารถที่จะกลับคืนมาอยู่บนพื้นฐานที่เข้มแข็งมากยิ่งขึ้น และไม่ถูกการปรากฏเคสติดเชื้อใหม่ๆ ในอนาคตมาทำให้เกิดการหยุดพักหรือการสะดุดติดขัดกันได้อย่างง่ายดาย” จาง บอก