อินโดนีเซียประกาศเลื่อนกำหนดการเปิดเกาะบาหลีรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ ย้ำจะรอจนกว่าจำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 ลดลงชัดเจน ขณะที่สหพันธ์สภากาชาดและสภาเสี้ยววงเดือนแดงระหว่างประเทศเตือนสถานการณ์การระบาดแดนอิเหนาใกล้หายนะ ด้านฟิลิปปินส์สั่งต่ออายุมาตรการล็อกดาวน์กรุงมะนิลาและพื้นที่ใกล้เคียง ส่วนออสเตรเลียขยายพื้นที่สกัดการระบาดครอบคลุมประชากรกว่า 80% ทั่วประเทศหรือกว่า 20 ล้านคน และทั้งหมดนี้มีสาเหตุมาจากไวรัสกลายพันธุ์สายพันธุ์เดลตา
ซานเดียกา อูโน รัฐมนตรีท่องเที่ยวและเศรษฐกิจเชิงวัฒนธรรมของอินโดนีเซีย ให้สัมภาษณ์สำนักข่าวรอยเตอร์เมื่อวันจันทร์ (28 มิ.ย.) ว่า อินโดนีเซียเคยตั้งเป้าว่าจะเปิดเกาะบาหลีรับนักท่องเที่ยวต่างชาติในช่วงปลายเดือนกรกฎาคมหรือต้นเดือนสิงหาคม แต่ตอนนี้รัฐบาลคิดว่าควรรอให้สถานการณ์เอื้ออำนวยกว่านี้
ช่วงหลายสัปดาห์มานี้ไวรัสโคโรนาระบาดหนักทั่วแดนอิเหนา ซึ่งรวมถึงบาหลีที่พบผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นถึง 4 เท่าตัวเมื่อเดือนที่แล้ว เป็นประมาณวันละ 200 คน
อย่างไรก็ดี สถานการณ์การระบาดที่แท้จริงของบาหลีอาจถูกปกปิดจากอัตราการตรวจหาผู้ติดเชื้อที่อยู่ที่เพียง 15% ซึ่งถือเป็นเกณฑ์ต่ำสุดที่องค์การอนามัยโลก (WHO) แนะนำ
อูโนเสริมว่า ต้องการให้จำนวนเคสใหม่ในบาหลีลดลงเหลือวันละ 30-40 คนก่อนที่จะเปิดเกาะอีกครั้ง
ในปัจจุบัน แม้กระทั่งนักเดินทางภายในประเทศที่ต้องการไปบาหลียังถูกกำหนดให้แสดงผลตรวจหาเชื้อโควิดก่อน เพื่อป้องกันการระบาดบนเกาะท่องเที่ยวแห่งนี้
รัฐบาลอินโดนีเซียกำหนดให้การระดมฉีดวัคซีนให้ประชาชนในบาหลีเป็นเรื่องสำคัญลำดับแรกๆ และเบื้องต้นได้ผลลัพธ์เป็นที่น่าพอใจ กล่าวคือ ผู้ที่ได้รับวัคซีนส่วนใหญ่มีอาการป่วยจากโควิดไม่รุนแรง อัตราการครองเตียงจึงต่ำกว่า 50% เทียบกับในหลายพื้นที่บนเกาะชวาที่อยู่ใกล้เคียง ซึ่งขณะนี้ถึงระดับ 90-100% แล้ว
อูโนระบุว่า ประชาชนในบาหลีราว 71% ฉีดวัคซีนเข็มแรกแล้ว และคาดว่าจะบรรลุเป้าหมายในการฉีดวัคซีนประชาชน 70% ครบ 2 โดสภายในสิ้นเดือนหน้า ขณะที่สถิติการฉีดวัคซีนทั่วประเทศขณะนี้อยู่ที่เพียง 13.3 ล้านคน จากเป้าหมายที่รัฐบาลกำหนดไว้ว่าจะฉีดวัคซีน 2 โดสให้ประชาชน 181.5 ล้านคนภายในเดือนมกราคม 2022
ขณะเดียวกัน เมื่อวันอังคาร (29) ยาน เกลฟานด์ หัวหน้าคณะผู้แทนในอินโดนีเซียของสหพันธ์สภากาชาดและสภาเสี้ยววงเดือนแดงระหว่างประเทศ (ไอเอฟอาร์ซี) เตือนว่า สถานการณ์การระบาดในอินโดนีเซียใกล้ถึง “จุดหายนะ” จากการระบาดของไวรัสสายพันธุ์เดลตาที่ทำให้มีผู้ติดเชื้อใหม่รายวันพุ่งทะลุ 20,000 คนในช่วงหลายวันที่ผ่านมา และยังทำให้โรงพยาบาลใน “พื้นที่อันตราย” หลายแห่งล้น ซึ่งรวมถึงในกรุงจาการ์ตาที่อัตราการครองเตียงอยู่ที่ 93% จากข้อมูลจนถึงวันอาทิตย์ (27)
สิตี นาเดีย ตาร์มิซี เจ้าหน้าที่อาวุโสของกระทรวงสาธารณสุขอินโดนีเซีย ยอมรับการประเมินของไอเอฟอาร์ซี โดยระบุว่า สาเหตุที่คนไข้ล้นโรงพยาบาลเนื่องจากผู้คนยังคงไปมาหาสู่กัน และไม่ปฏิบัติตามมาตรการควบคุมโรค อีกทั้งยังมีเชื้อสายพันธุ์เดลตาเข้ามาซ้ำเติมสถานการณ์ให้แย่ลงอีก
ทางด้านฟิลิปปินส์ ประธานาธิบดี โรดริโก ดูเตอร์เต สั่งต่ออายุมาตรการจำกัดการเดินทางและการทำธุรกิจในมะนิลาและพื้นที่ใกล้เคียงออกไปจนถึงกลางเดือนหน้า และให้คงมาตรการยกระดับการสกัดไวรัสใน 21 เมืองและจังหวัดต่อไปอีก รวมทั้งขยายมาตรการแบนการเดินทางจากโอมาน สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และประเทศส่วนใหญ่ในเอเชียใต้
ด้วยจำนวนผู้ติดเชื้อสะสมกว่า 1.4 ล้านคน และเสียชีวิต 24,456 คน ฟิลิปปินส์จึงถือเป็นหนึ่งในประเทศที่มีผู้ติดเชื้อและเสียชีวิตมากที่สุดในเอเชีย
สำหรับที่ออสเตรเลีย ซึ่งเคยประสบความสำเร็จในการควบคุมการระบาดในท้องถิ่นจากการปิดพรมแดน บังคับนักเดินทางต่างชาติกักตัวในโรงแรม และการล็อกดาวน์ช่วงสั้นๆ นั้น มาวันนี้ต้องเจอศึกหนักจากไวรัสสายพันธุ์เดลตาเช่นเดียวกับอีกหลายสิบประเทศทั่วโลก
รายงานระบุว่า ออสเตรเลียพบการระบาดจากตัวกลายพันธุ์นี้ใน 5 จาก 8 รัฐและดินแดนทั่วประเทศ นับตั้งแต่พบครั้งแรกในซิดนีย์ เมืองหลวงของรัฐนิวเซาท์เวลส์เมื่อ 2 สัปดาห์ก่อน จากคนขับลิมูซีนรับส่งลูกเรือของสายการบินต่างชาติ
จนถึงเวลานี้ทางการท้องถิ่นต่างๆ มีคำสั่งล็อกดาวน์ 3 เมืองใหญ่ รวมทั้งใช้มาตรการจำกัดเข้มงวดบางด้านในอีกหลายเมือง ครอบคลุมประชาชนกว่า 20 ล้านคน หรือ 80% ของประชากรทั้งหมด
ทั้งนี้ รัฐควีนส์แลนด์เตรียมล็อกดาวน์เมืองหลวงคือบริสเบนและบางเมืองที่อยู่ใกล้เคียงนาน 3 วันนับจากคืนวันอังคาร พร้อมกับที่เพิร์ท เมืองหลวงของเวสเทิร์นออสเตรเลีย จะเริ่มล็อกดาวน์ 4 วันตามรอยซิดนีย์ที่ต้องล็อกดาวน์ 2 สัปดาห์จนถึงวันที่ 9 เดือนหน้า และดาร์วิน ของดินแดนนอร์เทิร์นเทร์ริทอรี ที่ขยายมาตรการล็อกดาวน์อีก 72 ชั่วโมงจนถึงวันศุกร์ (2 ก.ค.)
การระบาดในซิดนีย์ ซึ่งมีประชากรอาศัยอยู่ 20% ของประชากร 25 ล้านคนทั่วประเทศนั้น เชื่อมโยงกับสายพันธุ์เดลตา และขณะนี้มีผู้ติดเชื้อเพิ่มเป็นเกือบ 150 คน
(ที่มา : รอยเตอร์, เอเอฟพี, เอพี)
