แพทย์กลุ่มหนึ่งเขียนจดหมายเปิดผนึกส่งถึงคณะกรรมการผู้เชี่ยวชาญด้านวัคซีนโควิด-19 ของสิงคโปร์ เรียกร้องให้ระงับฉีดวัคซีน mRNA ให้แก่เยาวชน จนกว่าทางศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งชาติสหรัฐฯ (ซีดีซี) จะให้ความชัดเจนถึงสาเหตุของการเสียชีวิตของเด็กชายวัย 13 ขวบรายหนึ่ง ซึ่งเกิดขึ้นหลังฉีดวัคซีน mRNA แต่ไม่ระบุว่าเป็นของ “ไฟเซอร์” หรือ “โมเดอร์นา”
จดหมายเปิดผนึกที่เขียนในนามกลุ่มกุมารแพทย์ แพทย์ปฐมภูมิ ผู้เชี่ยวชาญ ศัลยแพทย์เวชปฏิบัติทั่วไป ที่มีความกังวล และร่วมลงนามโดยบรรดาผู้ประกอบวิชาชีพด้านการแพทย์จำนวนหนึ่งในสิงคโปร์ ถูกโพสต์ลงบนเฟซบุ๊กเมื่อวันเสาร์ (26 มิ.ย.) โดยผู้เขียนเรียกร้องให้เจ้าหน้าที่เลื่อนฉีดวัคซีน mRNA แก่เยาวชนออกไปช่วงสั้นๆ อันเนื่องจากเหตุการณ์ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อเร็วๆ นี้ในสหรัฐฯ
เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งชาติสหรัฐฯ (ซีดีซี) เริ่มการสืบสวนการเสียชีวิตของเด็กวัย 13 ปีรายหนึ่งในเมืองแซกินอว์ รัฐมิชิแดน ซึ่งเกิดขึ้นเพียง 3 วันหลังเขาได้รับวัคซีนต้านไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่เข็มที่ 2 แต่ไม่มีการเปิดเผยว่าเป็นของยี่ห้อใด
วัคซีนที่ได้รับอนุมัติใช้ในกรณีฉุกเฉินในสหรัฐฯ ประกอบไปด้วย ไฟเซอร์-ไบโอเอ็นเทค โมเดอร์นา และจอห์นสันแอนด์จอห์นสัน ซึ่งทั้งหมดก็ล้วนใช้ในสิงคโปร์ด้วยเช่นกัน
ทางคณะแพทย์ที่ร่วมลงนามในจดหมายเปิดผนึกดังกล่าวเร่งเร้าว่าซีดีซีควรใช้เวลาไม่กี่สัปดาห์ในการแสดงข้อมูลที่หนักแน่นและชัดเจนเกี่ยวกับการเสียชีวิตของเด็กชายรายดังกล่าว และความเป็นไปได้ที่มันอาจเชื่อมโยงกับการฉีดวัคซีน พวกเขาระบุว่าเรื่องนี้เป็นประเด็นเร่งด่วน เพราะสิงคโปร์เป็นหนึ่งชาติกำลังเดินหน้าโครงการฉีดวัคซีน mRNA เชิงรุกมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ซึ่งคาดหมายว่าจนถึงตอนนี้มีเด็กผู้ชายฉีดวัคซีนไปแล้วอย่างน้อย 200,000 คน
ท่ามกลางความกังวลที่เริ่มลุกลาม พ่อแม่ผู้ปกครองชาวสิงโปร์ได้จัดทำหนังสืออุทธรณ์ฉบับหนึ่ง ร้องขอให้เจ้าหน้าที่ของเกาะแห่งนี้ระงับฉีดวัคซีนบุคคลอายุต่ำกว่า 30 ปี โดยเฉพาะเด็กนักเรียนอายุตั้งแต่ 12 ถึง 15 ปี จนกว่าการสอบสวนของทางซีดีซีจะเสร็จสมบูรณ์ จนถึงตอนนี้มีผู้ร่วมลงนามแล้วราว 2,000 คน
ในวันอาทิตย์ (27 มิ.ย.) ทางคณะกรรมการผู้เชี่ยวชาญด้านวัคซีนโควิด-19 ยืนยันว่ารับทราบเกี่ยวกับจดหมายเปิดผนึกของทางคณะแพทย์แล้ว และทางเจ้าหน้าที่ให้คำรับประกันว่าพวกเขาจะติดตามข้อมูลทั้งในระดับท้องถิ่นและระดับโลกอย่างใกล้ชิดเพื่ออัปเดตคำแนะนำเป็นระยะๆ แต่ ณ เวลานี้ประเมินว่าประโยชน์ของวัคซีนโควิด-19 ยังมีมากกว่าความเสี่ยงจากตัวไวรัสเอง
คณะกรรมการผู้เชี่ยวชาญด้านวัคซีนโควิด-19 ของสิงคโปร์ยังคงแนะนำให้เดินหน้าฉีดวัคซีนแก่เยาวชนต่อไป แต่ระบุว่าในมาตรการป้องกันไว้ก่อน เด็กๆ ควรหลีกเลี่ยงกิจกรรมการเคลื่อนไหวร่างกายหนักๆเป็นเวลา 1 สัปดาห์หลังฉีดวัคซีนโดสที่ 2 และให้ติดต่อแพทย์ทันทีในกรณีที่เกิดอาการแทรกซ้อนทางสุขภาพใดๆ
โครงการฉีดวัคซีนในสิงคโปร์กำลังเดินหน้าเต็มพิกัด โดยตอนนี้ประชากรมากกว่า 2 ล้านคน จากทั้งหมด 5.7 ล้านคนฉีดวัคซีนครบ 2 โดสแล้ว ขณะที่ดินแดนแห่งนี้ตั้งเป้าหมายฉีดวัคซีนครบ 2 โดสให้ได้ราว 2 ใน 3 ของประชากร
กลุ่มคณะรัฐมนตรีของสิงคโปร์ประกาศผ่านบทบรรณาธิการของหนังสือพิมพ์สเตรทส์ไทมส์ ว่าพวกเขาจะเปลี่ยนยุทธศาสตร์รับมือกับไวรัสแบบสุดขั้ว โดยมีแผนยกเลิกคำสั่งแบนด้านการเดินทาง และใช้ชีวิตปกติร่วมกับโควิด-19 ในขณะที่ไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ยังคงกลายพันธุ์ไม่หยุดหย่อน
“เราไม่อาจกำจัดมันให้หมดไป แต่เราสามารถเปลี่ยนโรคระบาดใหญ่เป็นบางอย่างที่เป็นภัยคุกคามน้อยกว่าเดิมมาก อย่างเช่นไข้หวัดใหญ่หรืออีสุกอีใส ใช้ชีวิตของเราร่วมกับมัน” เจ้าหน้าที่ระบุ
(ที่มา : รัสเซียทูเดย์)