คณะนักวิจัยของสหรัฐฯพบหลักฐานเพิ่มมากขึ้นซึ่งแสดงว่า ไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ที่ก่อให้เกิดโรคโควิด-19 มีการแพร่กระจายในระดับต่ำๆ อยู่ตามส่วนต่างๆ ของสหรัฐฯอย่างน้อยก็ตั้งแต่เดือนธันวาคม 2019 หรือหลายสัปดาห์ก่อนที่จะมีรายงานเคสผู้ติดเชื้อเคสแรกอย่างเป็นทางการ
จากตัวอย่างเลือดที่แช่แข็งเอาไว้หลายๆ ตัวอย่าง บ่งบอกให้ทราบว่ามีผู้คนใน 5 รัฐ ได้แก่ อิลลินอยส์, วิสคอนซิน, เพนซิลเวเนีย, มิสซิปซิปปี, และแมสซาชูเซตส์ ติดเชื้อไวรัสโคโรนาชนิดนี้ หลายๆ วันหรือกระทั่งหลายๆ สัปดาห์ก่อนที่จะมีการรายงานเคสผู้ป่วยใดๆ ในรัฐเหล่านี้อย่างเป็นทางการ
ตัวอย่างเลือดเหล่านี้มาจากอาสาสมัครที่เข้าร่วมในโครงการศึกษา “ออลล์ ออฟ อัส” ( All of Us study) ของสถาบันสุขภาพแห่งชาติของสหรัฐฯ (US National Institutes of Health หรือ NIH) อันเป็นโครงการที่กำลังดำเนินอยู่อย่างต่อเนื่อง โดยที่จะมีการเก็บรวบรวมข้อมูลทางสุขภาพของผู้คนจำนวน 1 ล้านคน ทั้งนี้การบริจาคเลือดเพื่อใช้เป็นตัวอย่างในการวิจัย ก็เป็นส่วนหนึ่งของการศึกษานี้
ปรากฏว่า จากการทดสอบตัวอย่างเลือด 24,000 ตัวอย่างที่ได้รับมาเมื่อตอนต้นปี 2020 ได้พบแอนตีบอดี หรือภูมิต้านทาน ไวรัสโคโรนา ในเลือดของคนอย่างน้อย 9 ราย คณะนักวิจัย “ออลล์ ออฟ อัส” รายงานเอาไว้ในวารสารโรคติดเชื้อทางคลินิก (Clinical Infectious Diseases)
“ตัวอย่างเลือดเหล่านี้ได้มาจากบุคคลซึ่งเก็บตัวอย่างเมื่อวันที่ 7 มกราคม จากอิลลินอยส์, วันที่ 8 มกราคมจากแมสซาชูเซตส์, วันที่ 3 กุมภาพันธ์จากวิสคอนซิน, วันที่ 15 กุมภาพันธ์จากเพนซิลเวเนีย, และวันที่ 6 มีนาคมในมิสซิสซิปปี” รายงานของคณะนักวิจัยนี้แจกแจง
เคสผู้ติดเชิ้อโควิด-19 รายแรกซึ่งเป็นที่รับรู้กันอย่างเป็นทางการก่อนหน้านี้ ในอิลลินอยส์ ได้รับรายงานในวันที่ 24 มกราคม โดยเป็นหญิงผู้หนึ่งซึ่งเพิ่งกลับจากเมืองอู่ฮั่น ของประเทศจีน ส่วนในแมสซาชูเซตส์คือวันที่ 1 กุมภาพันธ์ ในวิสคอนซินเป็นวันที่ 5 กุมภาพันธ์ ในเพนซิลเวเนียคือวันที่ 6 มีนาคม และที่มิสซิสซิปปีเป็นวันที่ 11 มีนาคม
คณะนักวิจัยคณะนี้ชี้ว่า เนื่องจากร่างกายมนุษย์จะต้องใช้เวลาราว 2 สัปดาห์ในการพัฒนาแอนตีบอดีขึ้นมาภายหลังจากได้รับเชื้อ การค้นพบเช่นนี้จึงบ่งบอกว่ามีอาสาสมัครบางคนติดเชื้อตั้งแต่เมื่อเดือนธันวาคม
“การศึกษานี้เป็นการเพิ่มเติมหลักฐานที่ระบุว่า มีการกระจายในระดับต่ำของ SARS-CoV-2 (ชื่อย่ออย่างเป็นทางการของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่) ในหลายๆ รัฐในตอนเริ่มต้นเกิดการระบาดขึ้นในสหรัฐฯ” รายงานของคณะนักวิจัยนี้บอก
“ในบรรดาเคสที่ทราบกันแน่นอนว่าเป็นการติดเชื้อ SARS-CoV-2 ในสหรัฐฯจำนวน 12 เคสแรกนั้น วันแรกสุดที่เกิดอาการซึ่งเป็นที่รับทราบกัน (ว่าเป็นอาการอันเกิดจากการติดเชื้อนี้) คือวันที่ 14 มกราคม 2020 และทั้ง 12 รายนี้ต่างเพิ่งเดินทางไปจีนแผ่นดินใหญ่เมื่อไม่นานก่อนหน้านั้น หรือเป็นผู้ที่มีการติดต่อสัมผัสกับผู้ที่เดินทางไปไม่นานก่อนหน้านั้น สำหรับการทดสอบภายในประเทศเพื่อหาเชื้อ SARS-CoV-2 เริ่มต้นขึ้นตอนกลางเดือนมกราคม 2020” คณะนักวิจัยนี้กล่าวในรายงาน
ในเวลานั้น รัฐบาลกลางสหรัฐฯให้คำแนะนำว่าควรทดสอบผู้ที่มีอาการน่าสงสัย ซึ่งมีประวัติว่าได้เดินทางไปจีนแผ่นดินใหญ่ หรือมีการติดต่อสัมผัสโดยตรงกับผู้เดินทางเท่านั้น
ผลการค้นพบเหล่านี้บ่งชี้ให้เห็นว่า นโยบายดังกล่าวทำให้ไม่พบรายที่ติดเชื้อจำนวนหนึ่ง คณะผู้วิจัยบอก
“ดิฉันคิดว่าการศึกษานี้แสดงให้เห็นว่า มีชิ้นส่วนอีกเยอะแยะเลยที่เรายังคงค้นไม่พบเพื่อจะได้นำเอามาปะติดปะต่อกัน จากวันเวลาทั้งหมดที่โรคระบาดนี้เกิดขึ้นในสหรัฐฯ” ดร.เครี อัลธอฟฟ์ (Keri Althoff) นักระบาดวิทยา ณ คณะสาธารณสุขศาสตร์บลูมเบิร์ก มหาวิทยาลัยจอห์นส์ฮอปกินส์ (Johns Hopkins Bloomberg School of Public Health) ซึ่งทำงานในการศึกษาวิจัยนี้ด้วย บอกกับโทรทัศน์ซีเอ็นเอ็น
ก่อนหน้านี้มีการศึกษาชิ้นหนึ่งซึ่งเผยแพร่เมื่อเดือนพฤศจิกายนปีที่แล้ว (ดูเพิ่มเติมได้ที่ https://academic.oup.com/cid/advance-article/doi/10.1093/cid/ciaa1785/6012472) พบหลักฐานว่ามีแอนตีบอดีอยู่เลือดของผู้คนในสหรัฐฯอย่างน้อยที่สุดก็ตั้งแต่วันที่ 13 ธันวาคม นอกจากนั้นยังมีการศึกษาชิ้นอื่นๆ ซึ่งก็บ่งชี้ว่าไวรัสได้มาถึงในสหรัฐฯตั้งแต่ในเดือนธันวาคม (ดูเพิ่มเติมได้ที่ https://www.cnn.com/2020/09/15/health/covid-19-in-us-in-december/index.html)
ขณะที่ข้อมูลซึ่งถูกนำออกมาเป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาครวนี้ไม่มีการระบุชื่อเจ้าของตัวอย่างเลือด แต่คณะนักวิจัยสามารถที่จะติดต่อกับอาสาสมัครเหล่านี้ได้ และก็มีแผนจะทำเช่นนั้นด้วย เชรี ชุลลี (Sheri Schully) ซึ่งกำลังทำงานกับโครงการ “ออลล์ ออฟ อัส” ที่สถาบัน NIH บอกกับซีเอ็นเอ็น
“พวกเขามีพอร์ทัลสำหรับผู้เข้าร่วมโครงการ ซึ่งพวกเขาสามารถที่จะเข้ามาได้จริงๆ และดูว่าตัวอย่างต่างๆ ของพวกเขากำลังถูกนำไปทำอะไรบ้าง” ชุลลีบอก ทางคณะผู้วิจัยจะสอบถามพวกเขาเพื่อขอข้อมูลเพิ่มเติม ในเรื่องที่ว่าพวกเขาได้เคยเดินทางไป หรือมีการติดต่อกับใครที่อาจจะเคยเดินทางไป ในช่วงเวลาย้อนหลังไปในปี 2019 ถึงต้นปี 2020 หรือไม่
ในอาสาสมัครเหล่านี้มีอยู่จำนวนหนึ่ง ซึ่งผลตรวจเลือดออกมาเป็นบวก และได้กรอกคำตอบแบบสำรวจสุขภาพด้วย โดยรายงานว่ามีอาการไข้ ไอ และเจ็บคอ และบอกว่าพวกเขาเชื่อว่าพวกเขาอาจจะติดโรคโควิด-19 ในช่วงเวลาเดียวกับที่พวกเขาถูกเก็บตัวอย่างเลือด
“จากการตรวจสอบจากบันทึกข้อมูลสุขภาพทางอิเล็กทรอนิกส์ในช่วงเวลาที่สัมพันธ์กัน เผยให้เห็นว่ามีผู้เข้าร่วมซึ่งผลตรวจหาเชื้อออกมาเป็นบวกจำนวน 2 คน มีอาการป่วยซึ่งสอดคล้องกับโรคโควิด-19 อย่างอ่อนๆ (เป็นต้นว่า อ่อนเพลีย มีอาการเกี่ยวกับทางเดินหายใจในระดับอ่อนๆ ) ทว่าพวกเขาถูกทดสอบเพิ่มเติมในระดับที่จำกัด และไม่มีรายใดได้รับการยืนยัน (ว่าป่วยเป็นโรคโควิด-19) จากการตรวจวินิจฉัยโรค ส่วนผู้เข้าร่วมที่ผลตรวจเลือดออกมาเป็นบวกอีก 7 รายนั้น ในบันทึกประวัติทางสุขภาพของพวกเขาไม่ได้มีหลักฐานว่ามีการใช้บริการทางด้านดูแลสุขภาพ” คณะนักวิจัยชุดนี้กล่าว
สิ่งที่ค้นพบจากการศึกษานี้ ไม่ได้หมายความว่าไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่กำลังระบาดอย่างกว้างขวางแล้วในสหรัฐฯในช่วงเดือนฑันวาคม 2019 หรือเดือนมกราคม 2020 คณะนักวิจัยเตือน
ขณะที่ ดร.อัลธอฟฟ์อธิบายเพิ่มเติมว่า “เป็นเรื่องสำคัญที่จะต้องระลึกเอาไว้ว่า ถ้ามีใครคิดว่าพวกเขาอาจติดโควิดตั้งแต่ในช่วงวันแรกๆ ตอนนั้น --ซึ่งดิฉันไม่คิดหรอกว่า จะมีใครข้างนอกนั่นคิด เนื่องจากในสมองของพวกเขาย่อมไม่ได้มีกรอบโครงขึ้นมาหรอกว่าพวกเขาอาจจะอยู่ในตอนเริ่มต้นของการเกิดโรคระบาดใหญ่ –มันก็เป็นอัตราชุกของโรคที่ต่ำอย่างมากๆ” เธอบอก
“ดังนั้น ถ้าคุณเกิดมีอาการบางอย่างของการติดเชื้อในทางเดินหายใจ ความเป็นไปได้ที่มันจะเป็น SARS-CoV-2 ก็จะอยู่ในอัตราที่ต่ำจริงๆ ในกรอบเวลาดังกล่าวนี้”
คณะนักวิจัยชุดนี้ใช้ความระมัดระวังในการตรวจสอบให้แน่ใจว่า พวกเขาไม่ได้เกิดความผิดพลาดในการตรวจเลือดแล้วพบรายที่มีแอนตีบอดีออกมาเป็นบวก และได้ดำเนินการทดสอบตัวอย่างเลือดแต่ละตัวอย่างจำนวน 2 ครั้ง อย่างไรก็ดี พวกเขาบอกว่า มีความเป็นไปได้ที่การตรวจเลือดของพวกเขาไปตรวจเจอภูมิคุ้มกันเชื้อไวรัสโคโรนาซึ่งมีอยู่ก่อนแล้ว และภูมิคุ้มกันดังกล่าวเกิดสามารถสร้างแอนตีบอดีต่อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ได้ด้วย ทั้งนี้ ยังมีเชื้อไวรัสโคโรนาอื่นๆ อีก 4 ชนิดที่แพร่เชื้อกันอยู่ในหมู่ผู้คนทั่วไป โดยก่อให้เกิดอาการแบบหวัดธรรมดา
การทดสอบที่คณะนักวิจัยทำกันนี้ มุ่งใช้ตัวอย่างเลือดในการตรวจสอบหาภูมิคุ้มกันซึ่งเกิดขึ้นมาเพื่อต่อสู้กับการติดเชื้อ แต่ไม่ได้มองหาหลักฐานของการติดเชื้อโดยตรง
สิ่งที่ค้นพบจากการศึกษานี้ยังบ่งบอกว่า แม้กระทั่งเมื่อตอนต้นๆ ของการเกิดโรคระบาดใหญ่ พวกชนกลุ่มน้อยได้รับผลกระทบจากไวรัสในระดับที่รุนแรงยิ่งกว่าชนส่วนใหญ่ โดยที่ 7 ใน 9 ของตัวอย่างเลือดเหล่านี้ ได้มาจากผู้เข้าร่วมที่เป็นชนกลุ่มน้อยซึ่งเป็นคนสูงวัย คณะนักวิจัยบอก
(ที่มา: NIH researchers find more evidence Covid was circulating in the US in December 2019 By Maggie Fox, CNN, 15/06/2021)