โคโลเนียล ไปป์ไลน์ ผู้ดำเนินการสายท่อขนส่งน้ำมันใหญ่ที่สุดของสหรัฐฯ ตั้งความหวังกลับมาให้บริการได้อีกครั้งในสุดสัปดาห์นี้ ภายหลังระบบคอมพิวเตอร์ถูกคนร้ายแอบเจาะและเปลี่ยนรหัส จนเข้าไปทำงานไม่ได้มาตั้งแต่ปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา ขณะที่ “ดาร์กไซด์” แก๊งโจมตีทางไซเบอร์ซึ่งประกาศตนเป็นผู้ก่อเหตุ ยืนยันว่าต้องการแค่เงินค่าไถ่ ไม่ได้อยากให้สังคมวุ่นวาย ด้านชาวอเมริกันในรัฐทางตะวันออกเฉียงใต้แตกตื่นแห่เติมน้ำมันจนราคาทะยานขึ้น และล่าสุดสถานทูตรัสเซียปัดไม่เกี่ยวข้องกับการแฮกธุรกิจพลังงานของสหรัฐฯ ครั้งนี้ ตามที่ประธานาธิบดีไบเดนกล่าวหาอย่างอ้อมๆ
การโจมตีโคโลเนียล ไปป์ไลน์ถือเป็นแผนการเรียกค่าไถ่ผานระบบดิจิทัลที่สร้างปัญหามากที่สุดครั้งหนึ่งเท่าที่เคยมีการรายงานมา
แม้ยังไม่มีการประเมินมูลค่าความเสียหายที่ชัดเจนจากการที่โคโลเนียลถูกโจมตีด้วยซอฟต์แวร์เรียกค่าไถ่ แต่การที่ระบบลำเลียงขนส่งเชื้อเพลิงของบริษัทยังไม่สามารถใช้การได้ จะทำให้ปริมาณเชื้อเพลิงพร้อมใช้มีปริมาณลดลงในระยะอันสั้น ดันราคาพุ่งทะยาน รวมทั้งบีบให้โรงกลั่นน้ำมันหลายแห่งต้องลดการผลิตเนื่องจากไม่สามารถจัดส่งได้
ในวันจันทร์ (10) โคโลเนียลแถลงว่า กำลังดำเนินการเพื่อฟื้นระบบโดยตั้งเป้าว่า จะสามารถกลับมาให้บริการได้เป็นส่วนใหญ่ภายในสิ้นสัปดาห์นี้
ทั้งนี้ วันศุกร์ที่ผ่านมา (7) โคโลเนียลต้องปิดเครือข่ายสายท่อส่งขนเชื้อเพลิงระยะทาง 8,850 กิโลเมตร ที่จัดส่งน้ำมันเบนซิน ดีเซล และเชื้อเพลิงสำหรับเครื่องบิน จากเทกซัส ซึ่งอยู่ในแถบกัลฟ์โคสต์ ทางภาคใต้ของประเทศ ไปจนชายฝั่งภาคตะวันออก (อีสโคสต์) ของสหรัฐฯ ภายหลังระบบคอมพิวเตอร์ของบริษัทถูกแฮก และถูกเปลี่ยนรหัสจนเข้าใช้งานไม่ได้
วันเดียวกัน ดาร์กไซด์ กลุ่มอาชญากรทางไซเบอร์มืออาชีพ ออกคำแถลงประกาศเจตนารมณ์ว่า ต้องการเงิน ไม่ได้อยากสร้างปัญหาให้สังคม แต่ไม่ได้พาดพิงถึงโคโลเนียล
ทั้งนี้ สำนักงานสอบสวนกลางของอเมริกา (เอฟบีไอ) ระบุว่า ดาร์กไซด์ที่เชื่อกันว่า กบดานอยู่ในรัสเซียหรือยุโรปตะวันออก อยู่เบื้องหลังการโจมตีนี้
ด้านประธานาธิบดีโจ ไบเดน แถลงว่า ขณะนี้ยังไม่มีหลักฐานว่า รัฐบาลรัสเซียเกี่ยวข้องด้วย อย่างไรก็ตาม การที่มีสิ่งบ่งชี้ว่า ดาร์กไซด์ปฏิบัติการจากในรัสเซีย ดังนั้น เครมลินจึงมีความรับผิดชอบบางส่วนในการจัดการปัญหานี้
แอนน์ นิวเบอร์เกอร์ รองที่ปรึกษาฝ่ายความมั่นคงแห่งชาติ ซึ่งดูแลงานความปลอดภัยทางไซเบอร์ บอกว่า คณะบริหารของไบเดนนั้นไม่ได้ให้คำแนะนำว่า โคโลเนียลควรจ่ายค่าไถ่หรือไม่
ต่อมาในวันอังคาร (11) สถานเอกอัครราชทูตรัสเซียประจำสหรัฐฯ ได้ออกมาตอบโต้ว่า ผู้สื่อข่าวบางคนปั้นเรื่องว่ารัสเซียเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ด้วย พร้อมกับยืนยันว่า รัสเซียไม่ได้ทำกิจกรรม “ประสงค์ร้าย” ในไซเบอร์สเปซ นอกจากนั้นที่ผ่านมา รัสเซียยังเสนอหารือกับวอชิงตันเรื่องปัญหาความมั่นคงด้านข้อมูลระหว่างประเทศมาหลายครั้ง
จากสิ่งที่เกิดขึ้นกับโคโลเนียล กำลังเป็นการตีแผ่ความเสี่ยงของโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานในการถูกแฮ็กเกอร์โจมตี อันโตนิโอ กูเตียร์เรส เลขาธิการสหประชาชาติ กล่าวว่า เหตุการณ์นี้แสดงให้เห็นว่าชาติสมาชิกยูเอ็นจำเป็นต้องต่อสู้กับอาชญากรรมทางไซเบอร์เพื่อป้องกันผลกระทบร้ายแรงต่อโลก
ปัญหาการชะงักงันของระบบส่งเชื้อเพลิงของโคโลเนียล เกิดขึ้นในช่วงที่สหรัฐฯ ย่างเข้าสู่ฤดูตากอากาศ ที่ผู้คนออกเดินทางกันอย่างคึกคัก โดยดีมานด์น้ำมันเบนซินและการเดินทางทางอากาศมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นสูงสุด
แพทริก เดอ ฮาน หัวหน้านักวิเคราะห์ด้านปิโตรเลียมของแก๊สบัดดี้ ชี้ว่า ชาวอเมริกันในรัฐทางตะวันออกเฉียงใต้ พากันแตกตื่นนำรถไปเติมน้ำมันเนื่องจากกลัวว่าน้ำมันจะขาดแคลน
ด้านสมาคมยานยนต์แห่งอเมริการะบุว่า ราคาน้ำมันเบนซินทั่วประเทศเฉลี่ยไต่ขึ้นไปอยู่ที่ 2.96 ดอลลาร์ต่อแกลลอน และเป็นไปได้ว่าอาจพุ่งขึ้นทำสถิติสูงสุดนับจากปี 2014
ขณะเดียวกัน ผู้นำเข้าเชื้อเพลิงของอเมริกากำลังติดต่อสั่งน้ำมันเบนซินจากยุโรป ขณะที่ผู้กลั่นน้ำมัน อาทิ โมติวา เอ็นเตอร์ไพรส์ และโทเทล ลดกำลังผลิตในโรงงานแถบกัลฟ์โคสต์เนื่องจากไม่สามารถขนส่งได้
(ที่มา : รอยเตอร์, เอเอฟพี, เอพี)