รัฐบาลสหรัฐฯ ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินเฉพาะภูมิภาคเมื่อวันอาทิตย์ (9 พ.ค.) หลังจากสายท่อส่งน้ำมันสายสำคัญมาก ซึ่งเป็นระบบลำเลียงเชื้อเพลิงใหญ่ที่สุดในประเทศที่ให้บริการผู้บริโภค 50 ล้านคนถูกโจมตีทางไซเบอร์ โดยผู้เชี่ยวชาญเชื่อว่า เป็นฝีมือแก๊งอาชญากรทางไซเบอร์มืออาชีพที่ใช้ชื่อว่า “ดาร์กไซด์” นอกจากนั้นยังมีคำเตือนว่า ราคาน้ำมันอาจพุ่งทะยาน หากยังไม่สามารถแก้ไขสถานการณ์เพื่อให้สายท่อขนส่งเชื้อเพลิงนี้ใช้การได้อีกครั้ง โดยที่ราคาน้ำมันเบนซินในอเมริกาพุ่งขึ้นกว่า 3% แล้ว
ระบบสายท่อส่งน้ำมันของ บริษัทโคโลเนียล ไปป์ไลน์ เป็นผู้ลำเลียงน้ำมันเบนซินและเชื้อเพลิงสำหรับเครื่องบิน จากชายฝั่งอ่าวเม็กซิโก (กัลฟ์โคสต์) ในเทกซัสทางตอนใต้ของประเทศ ไปยังชายฝั่งภาคตะวันออก (อีสต์โคสต์) ของสหรัฐฯ รวมเป็นระยะทาง 8,850 กิโลเมตร เพื่อให้บริการผู้บริโภค 50 ล้านคน
บริษัทเผยว่า ตกเป็นเหยื่อการโจมตีทางไซเบอร์ที่เกี่ยวข้องกับซอฟต์แวร์เรียกค่าไถ่ ซึ่งทำให้ระบบคอมพิวเตอร์ของบริษัทถูกคนร้ายเจาะและเข้ารหัสเอาไว้ พร้อมเรียกให้จ่ายเงินค่าไถ่หากต้องการให้ระบบกลับมาทำงานได้ตามปกติ
ด้านกระทรวงคมนาคมสหรัฐฯแถลงว่า การประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินก็เพื่อให้สามารถใช้มาตรการที่จำเป็นสำหรับการขนส่งที่ไม่ปกติ ในการลำเลียงน้ำมันเบนซิน ดีเซล เชื้อเพลิงสำหรับเครื่องบิน และผลิตภัณฑ์จากการกลั่นน้ำมันอื่นๆ
จากการประกาศนี้ เปิดทางให้มีการขนส่งเชื้อเพลิงด้วยยานยนต์ทางบกในรัฐที่ได้รับผลกระทบ เช่น แอละบามา อาร์คันซอส์ ฟลอริดา นิวยอร์ก เทนเนสซี เทกซัส และเวอร์จิเนีย รวมทั้งผ่อนคลายกฎข้อบังคับที่เกี่ยวข้องอื่นๆ
โคโลเนียลแถลงเมื่อวันอาทิตย์ว่า สามารถจัดส่งเชื้อเพลิงผ่านสายท่อส่งย่อยบางส่วน แต่ระบบหลักยังใช้การไม่ได้
คำแถลงระบุว่า บริษัทกำลังติดต่อกับหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายและหน่วยงานอื่นๆ ของรัฐบาลกลาง ซึ่งรวมถึงกระทรวงพลังงานที่เป็นแกนนำการแก้ปัญหาในขณะนี้
ด้าน จีนา ไรมอนโด รัฐมนตรีพาณิชย์ ให้สัมภาษณ์เครือข่ายโทรทัศน์ซีบีเอสเมื่อวันอาทิตย์ว่า เจ้าหน้าที่กำลังดำเนินการเพื่อป้องกันไม่ให้ซัปพลายเชื้อเพลิงสะดุด
โคโลเนียลที่ตั้งสำนักงานอยู่ในรัฐจอร์เจีย เป็นผู้ดำเนินการสายท่อส่งเชื้อเพลิงรายใหญ่ที่สุดในอเมริกาเมื่อวัดจากปริมาณ กล่าวคือโดยปกติแล้วบริษัทจะจัดส่งน้ำมันเบนซิน เชื้อเพลิงดีเซล เชื้อเพลิงสำหรับเครื่องบิน และผลิตภัณฑ์จากการกลั่นน้ำมันอื่นๆ รวม 2.5 ล้านบาร์เรลต่อวัน
การโจมตีครั้งนี้ทำให้ผู้เชี่ยวชาญการรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์ เช่น อัลเกิร์ด พิพิเคต ผู้นำด้านยุทธศาสตร์ไซเบอร์ แห่งศูนย์เพื่อความปลอดภัยทางไซเบอร์ ของเวิลด์ อิโคโนมิก ฟอรั่ม ออกมาเรียกร้องให้อุตสาหกรรมพลังงานยกระดับการเตรียมพร้อมรับมือการคุกคามในอนาคต ซึ่งมีแนวโน้มว่า จะเกิดบ่อยครั้งขึ้น
ในวันอาทิตย์ ราคาน้ำมันในอเมริกาเริ่มขยับขึ้นรับข่าวนี้ นักวิเคราะห์ยังเตือนว่า ราคาน้ำมันจะพุ่งขึ้นต่อหากสายท่อลำเลียงของโคโลเนียลยังไม่สามารถใช้การได้ และเมื่อเข้าสู่วันจันทร์ (10) ราคาน้ำมันเบนซินสัญญาซื้อขายล่วงหน้าในอเมริกาพุ่งขึ้นกว่า 3% อยู่ที่ 2.217 ดอลลาร์ต่อแกลลอน ซึ่งถือเป็นราคาสูงสุดนับจากเดือนพฤษภาคม 2018
แม้การสอบสวนของรัฐบาลสหรัฐฯ ยังอยู่ในขั้นเริ่มต้น ทว่า อดีตเจ้าหน้าที่รัฐบาลคนหนึ่งและแหล่งข่าวในอุตสาหกรรมอีก 3 คนเชื่อว่า ผู้ต้องสงสัยเป็นคนก่อเหตุในกรณีนี้คือ ดาร์กไซด์ ซึ่งเป็นแก๊งอาชญากรทางไซเบอร์มืออาชีพ และเป็นหนึ่งในแก๊งซอฟต์แวร์เรียกค่าไถ่ที่หลีกเลี่ยงการโจมตีเป้าหมายในประเทศที่เคยเป็นสมาชิกสหภาพโซเวียต
ดาร์กไซด์จะเจาะเข้าสู่เครือข่ายคอมพิวเตอร์ของเอกชน เข้ารหัสไฟล์ และบ่อยครั้งที่ขโมยข้อมูลติดมือไปด้วย หลังจากนั้นจะเรียกร้องให้เหยื่อจ่ายเงินเป็นค่าถอดรหัสไฟล์ และจ่ายเพิ่มอีกก้อนเพื่อไม่ให้นำข้อมูลที่ขโมยไปเผยแพร่ต่อ
แหล่งข่าววงในเผยว่า สำหรับโคโลเนียลนั้น ถูกแฮ็กเกอร์ขโมยข้อมูลไปกว่า 100 กิกะไบต์ อย่างไรก็ดี ยังไม่พบหลักฐานว่า มีการโอนข้อมูลออกจากระบบของบริษัทแต่อย่างใด
นอกจากนั้น เว็บไซต์มืดของดาร์กไซด์ที่เหล่าแฮ็กเกอร์มักโพสต์ข้อมูลเกี่ยวกับเหยื่อ ยังไม่ปรากฏโพสต์ที่พาดพิงถึงโคโลเนียล ขณะที่บริษัทงดแสดงความคิดเห็นว่า แฮ็กเกอร์ของดาร์กไซด์เกี่ยวข้องกับการโจมตีนี้หรือไม่ การโจมตีเกิดขึ้นเมื่อใด หรือรายละเอียดค่าไถ่ที่แฮ็กเกอร์เรียกร้อง
(ที่มา: เอเอฟพี, รอยเตอร์, เอพี)