สมาชิกของกลุ่มสี่ว่าด้วยตะวันออกกลาง (Quartet on the Middle East) ซึ่งประกอบด้วยสหรัฐฯ รัสเซีย อียู และสหประชาชาติ เมื่อวันเสาร์ (8 พ.ค.) แสดงความกังวลใหญ่หลวงต่อความรุนแรงในเยรูซาเลม หนึ่งวันหลังเกิดเหตุปะทะระหว่างชาวปาเลสไตน์กับกองกำลังด้านความมั่นคงอิสราเอล ส่งผลให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บมากกว่า 200 คน
ถ้อยแถลงของทางกลุ่มระบุว่า คณะผู้แทนทูตของกลุ่ม 4 “รู้สึกกังวลอย่างยิ่งเกี่ยวกับเหตุปะทะและความรุนแรงรายวันในเยรูซาเลมตะวันออก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเหตุเผชิญหน้าเมื่อคืนที่ผ่านมา ระหว่างชาวปาเลสไตน์กับกองกำลังด้านความมั่นคงที่ฮารัมอัลชารีฟ หรือที่เรียกว่าเนินพระวิหาร”
“เรากังวลกับถ้อยแถลงยั่วยุจากกลุ่มการเมืองบางกลุ่ม เช่นเดียวกับเหตุยิงจรวดและการกลับมาปล่อยลูกโป่งก่อกวนจากกาซาเข้าหาอิสราเอล และเหตุโจมตีพื้นที่เพาะปลูกของชาวปาเลสไตน์ในเวสต์แบงก์” ถ้อยแถลงกล่าว
ถ้อยแถลงระบุต่อว่า “คณะทูตเน้นย้ำว่ามีความกังวลอย่างจริงจังกับความเป็นไปได้ที่ครอบครัวชาวปาเลสไตน์จะถูกขับไล่ออกจากบ้านพักอาศัยที่พวกเขาใช้ชีวิตกันมารุ่นแล้วรุ่นเล่า และส่งเสียงคัดค้านกับการกระทำฝ่ายเดียว ซึ่งรังแต่ขยายสภาพแวดล้อมที่ตึงเครียดอยู่ก่อนแล้วให้ลุกลามบานปลาย”
“นอกจากนี้แล้วเรายังขอเรียกร้องเจ้าหน้าที่อิสราเอลอดทนอดกลั้น หลีกเลี่ยงการใช้มาตรการใดๆ ที่อาจทำให้สถานการณ์ลุกลามบานปลายระหว่างช่วงเวลาวันศักดิ์สิทธิ์ของชาวมุสลิม”
แม้มีเสียงวิงวอนจากนานาชาติ แต่ความรุนแรงยังเกิดขึ้นต่อเนื่องในวันเสาร์ (8 พ.ค.) โดยมีผู้ได้รับบาดเจ็บอีกหลายสิบคน หลังตำรวจอิสราเอลใช้การฉีดน้ำและกระสุนยางเข้าสลายพวกผู้ประท้วงชาวปาเลสไตน์ในเยรูซาเลมตะวันออก ที่อิสราเอลผนวกเข้าเป็นส่วนหนึ่งของดินแดน
กลุ่มสี่ว่าด้วยตะวันออกกลางมีความเคลื่อนไหวมากขึ้นนับตั้งแต่ โจ ไบเดน เข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ เมื่อช่วงต้นปี หลังจากอยู่นิ่งเสียเป็นส่วนใหญ่ในสมัยของอดีตประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งถูกชาวปาเลสไตน์มองว่าลำเลียงเข้าข้างอิสราเอล
ถ้อยแถลงเน้นย้ำถึงพันธสัญญาของทางกลุ่มที่มุ่งมั่นสนับสนุนทางออกแบบ 2 รัฐ (two-state solution) เพื่อแก้ไขความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลกับปาเลสไตน์
หลังสิ้นสุดสงคราม 6 วันในปี 1967 อิสราเอลยึดฝั่งตะวันออกของเยรูซาเลม ก่อนจะผนวกเป็นของตนเองโดยไม่ได้รับการยอมรับจากประชาคมโลก ขณะที่ชาวปาเลสไตน์ต้องการให้เยรูซาเลมตะวันออกเป็นเมืองหลวงของรัฐปาเลสไตน์ที่จะก่อตั้งขึ้นในอนาคต
(ที่มา : เอเอฟพี)