ทางรถไฟยกระดับในกรุงเม็กซิโกซิตี พร้อมกับขบวนรถไฟที่กำลังแล่นอยู่ ได้พังถล่มลงมายังถนนเบื้องล่างที่การจราจรกำลังหนาแน่น ทำให้มีผู้เสียชีวิตไปอย่างน้อย 23 คน เจ้าหน้าที่รับผิดชอบแถลงในวันอังคาร (4 พ.ค.) พร้อมรับปากว่าจะดำเนินการสอบสวนหาข้อเท็จจริงอย่างเต็มที่
ข่าวระบุว่า ภายหลังอุบัติเหตุเกิดขึ้นมาเมื่อตอนดึกวันจันทร์ (3) แล้ว ยังมีตู้รถไฟ 2 ตู้ติดค้างอยู่อย่างน่าหวาดเสียวกับทางรถไฟที่พังลงมา และความพยายามในการกู้ภัยต้องหยุดชะงักไปช่วงหนึ่งเป็นเวลาสั้นๆ เนื่องจากพวกผู้รับผิดชอบหวั่นเกรงว่าอาจจะมีชิ้นส่วนรถไฟตอลดจนสิ่งหักพังอื่นๆ ถล่มลงใส่ถนนเบื้องหลังเพิ่มเติมขึ้นอีก
พวกพนักงานดับไฟต้องใช้สายโซ่ขนาดใหญ่ๆ ผูกตรึงสถานที่เกิดเหตุให้พอมีความมั่นคง แล้วจึงเข้าไปนำร่างผู้เสียชีวิตและผู้ที่รอดชีวิตออกมาจากกองปรักหักพัง ผู้ได้รับบาดเจ็บถูกนำตัวไปยังโรงพยาบาลแห่งต่างๆ ที่อยู่ใกล้เคียง บริเวณตอนใต้ของมหานครแห่งนี้
สถานีโทรทัศน์ Milenio TV ได้เผยแพร่คลิปจากกล้องวงจรปิดซึ่งบันทึกภาพนาทีที่ทางรถไฟยกระดับช่วงนั้นหักสะบั้น ทำให้ทั้งขบวนรถไฟและเศษแท่งคอนกรีตร่วงลงมาใส่แถวรถยนต์ที่อยู่บนถนนเบื้องล่าง ณ บริเวณใกล้ๆ กับสถานีโอลิบอส ในแถบตะวันออกเฉียงใต้ของเมืองหลวงเม็กซิโกแห่งนี้ เมื่อเวลาประมาณ 22.30 น.ตามเวลาท้องถิ่น ทำให้เกิดกลุ่มควันหนาลอยคลุ้งราวกับก้อนเมฆ รวมทั้งมีประกายไฟอีกด้วย
ตู้รถไฟ 2 ตู้อยู่ในสภาพแขวนเอาไว้กับโครงสร้างของทางรถไฟยกระดับ เหนือถนนที่การจราจรคับคั่ง นอกเหนือจากผู้เสียชีวิตแล้วยังมีผู้ได้รับบาดเจ็บอีกอย่างน้อย 65 คนในจำนวนนี้ 7 คนอาการสาหัส
มีบุคคล 1 คนซึ่งติดอยู่ในรถยนต์คันหนึ่งใต้กองปรักหักพัง และได้รับการช่วยเหลือออกมาได้แล้ว
อุบัติเหตุคราวนี้ทำให้เกิดคำถามขึ้นมาอีก เกี่ยวกับความปลอดภัยของระบบขนส่งมวลชนของเม็กซิโกซิตี ที่สร้างแผ่ไปทั่วทั้งมหานครใหญ่มีประชากรราว 20 ล้านคนแห่งนี้ และถือเป็นระบบขนส่งมวลชนซึ่งมีผู้ใช้บริการมากที่สุดระบบหนึ่งของโลก
ครั้งนี้เป็นครั้งที่ 2 แล้วในปีนี้ที่เกิดอุบัติเหตุร้ายแรงขึ้นมา โดยก่อนหน้านี้ได้เกิดไฟไหม้ขึ้นที่อาคารควบคุมส่วนกลาง ทำให้รถไฟขนส่งมวลชนหลายๆ สายของเม็กซิโกซิตีต้องหยุดวิ่งไปเป็นเวลาหลายสัปดาห์
ระหว่างการแถลงข่าวตามปกติ ประธานาธิบดีอันเดรส มานูเอล โลเปซ โอบราดอร์ ของเม็กซิโก กล่าวถึงเหตุการณ์คราวนี้ว่า ควรต้องรีบสอบสวนหาสาเหตุกันอย่างรวดเร็ว และจะต้องไม่ปิดบังอะไรทั้งสิ้นแก่ประชาชนชาวเม็กซิโก
ทางด้าน คลอเดีย ไชน์โบม นายกเทศมนตรีกรุงเม็กซิโกซิตี พูดก่อนหน้านี้ว่า ดูเหมือนมีคานขนาดใหญ่ตัวหนึ่งหลุดออกมาตรงช่วงทางรถไฟยกระดับนี้ และกล่าวว่าทางสำนักงานอัยการสูงสุด ตลอดจนบริษัทอิสระภายนอก จะเข้าสอบสวนหาข้อเท็จจริงกันอย่างเต็มที่
สำหรับรถไฟฟ้าสายนี้ ซึ่งเรียกกันว่าสาย 12 หรือสายสีทอง ถูกสร้างขึ้นในสมัยที่ มาร์เซโล เอบราร์ด รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศเม็กซิโกคนปัจจุบัน ยังดำรงตำแหน่งนายกเทศมนตรีประจำเมืองหลวง
เอบราร์ด ได้ทวีตข้อความแสดงความเสียใจต่อโศกนาฏกรรมที่เกิดขึ้น
“สิ่งที่เกิดขึ้นกับระบบรถไฟฟ้าในวันนี้ถือเป็นโศกนาฏกรรมอันเลวร้าย ผมขอส่งกำลังใจไปยังผู้บาดเจ็บ ผู้เสียชีวิต และครอบครัวของพวกเขา แน่นอนว่าจะต้องมีการตรวจสอบสาเหตุ และหาตัวผู้รับผิดชอบ” เขากล่าว
ในการแถลงข่าวพร้อมกับประธานาธิบดีโลเปซ โอบราดพอร์ ทั้งนายกเศมนตรีไชน์โบม และรัฐมนตรีเอบราร์ด ถูกพวกผู้สื่อข่าวตั้งคำถามซ้ำแล้วซ้ำอีกว่าใครควรที่จะต้องรับผิดชอบกับสิ่งที่เกิดขึ้นนี้ ขณะที่ทั้งคู่รบเร้าสาธารณชนอนุญาตให้ทีมสอบสวนทำงานของพวกเขาเสียก่อน แล้วค่อยมาหาตัวผู้ที่จะต้องรับผิดชอบสำหรับอุบัติเหตุคราวนี้
รถไฟฟ้าในกรุงเม็กซิโกซิตีมีผู้โดยสารใช้บริการมากกว่า 4 ล้านคนต่อวัน และถือเป็นระบบรถไฟฟ้าที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ของทวีปอเมริกา รองจากรถไฟฟ้าในนครนิวยอร์ก
เม็กซิโกซิตีปกครองโดยประธานาธิบดีและพันธมิตรมากว่า 20 ปี
เม็กซิโกซิตีนั้นอยู่ในการบริหารปกครองของ โลเปซ โอบราดอร์ หรือไม่ก็โดยพันธมิตรของเขามาโดยตลอดในเวลากว่า 20 ปีที่ผ่านมา ทั้งนายกเศมนตรีไชน์โบม และรัฐมนตรีเอบราร์ด ก็อยู่ในกลุ่มนี้เช่นเดียวกัน
เมื่อปี 2014 หรือเพียงแค่ 2 ปีหลังจากสาย 12 เปิดใช้งาน ปรากฏว่ามีสถานีรถไฟหลายแห่งของทางรถไฟสายนี้เกิดปัญหาทางโครงสร้างจนต้องปิดซ่อมแซม
สำหรับผู้รับเหมาก่อสร้างสาย 12 นี้ ได้แก่กลุ่มกิจการร่วมค้าที่นำโดยบริษัท CARSO Infraestructura y Construccion, S.A.B. de C.V (CCICSA) ซึ่งเป็นบริษัทหนึ่งในกลุ่ม Grupo ICA แห่งเม็กซิโก และกิจการที่อยู่เม็กซิโกของบริษัท อัลสตอร์ม เอสเอ แห่งฝรั่งเศส ทั้งนี้ กลุ่ม Grupo ICA อยู่ในการควบคุมของครอบครัวอภิมหาเศรษฐีเม็กซิโก การ์โลส สลิม
CCICSA ระบุในคำแถลงส่งถึงสำนักข่าวรอยเตอร์ว่า ทางบริษัทขอแสดงความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับครอบครัวของเหยื่อผู้เคราะห์ร้าย ตลอดจนผู้ที่ได้รับบาดเจ็บ และบอกด้วยว่า “เราจะรอฟังความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญของทางการ”
(ที่มา : รอยเตอร์, เอพี)
