ศึกความขัดแย้งในราชวงศ์จอร์แดนทำท่าคลี่คลายพร้อมกับถูกปกปิด อดีตรัชทายาทประกาศยังจงรักภักดีต่อกษัตริย์ รัฐบาลก็เร่งห้ามสื่อเสนอข่าว

ศึกความขัดแย้งในราชวงศ์ของจอร์แดนทำท่าคลี่คลายไปบ้าง เจ้าชายฮัมซาประกาศถวายความจงรักภักดีต่อสมเด็จพระราชาธิบดีอับดุลเลาะห์ที่ 2 ภายหลังการเจรจาภายใน หลังจากก่อนหน้านี้พระองค์ถูกกักบริเวณจากข้อกล่าวหาพยายามบ่อนทำลายความมั่นคงของประเทศ ขณะที่ล่าสุดทางการออกมาตรการปิดข่าวห้ามสื่อเสนอเรื่องความขัดแย้งนี้แล้ว ด้านผู้เชี่ยวชาญชี้นี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของวิกฤตการณ์ในจอร์แดน ซึ่งเป็นประเทศที่มีความสำคัญทางยุทธศาสตร์เป็นอย่างมากในตะวันออกกลาง

ก่อนหน้านี้เจ้าชายฮัมซาห์ อดีตรัชทายาทซึ่งถูกกักบริเวณภายในพระตำหนักในกรุงอัมมานพร้อมกับบุคคลอื่นอย่างน้อย 16 คน ยืนกรานว่า จะไม่ฟังคำสั่งจำกัดความเคลื่อนไหวของพระองค์ แต่ภายหลังจากเจ้าชายฮัสซัน ซึ่งเคยทรงเป็นอดีตรัชทายาทเช่นเดียวกัน ได้รับมอบหมายจากพระราชาธิบดีอับดุลเลาะห์ที่ 2 ให้ทำหน้าที่ไกล่เกลี่ยภายในราชวงศ์ เจ้าชายฮัมซาห์ก็ทรงมีท่าทีอ่อนลงและออกคำแถลงในวันจันทร์ (5 เม.ย.) ยืนยันความจงรักภักดีและพร้อมสนับสนุนพระราชาธิบดีอับดุลเลาะห์ที่ 2 ตลอดจนเจ้าชายมกุฎราชกุมารองค์ปัจจุบัน ซึ่งเป็นพระราชโอรสของพระราชาธิบดี

เจ้าชายฮัมซาห์ ซึ่งถูกพระราชาธิบดีอับดุลเลาะห์ที่ 2 ผู้เป็นพระเชษฐาต่างมารดา ปลดจากตำแหน่งมกุฎราชกุมารในปี 2004 กลายเป็นหอกข้างแคร่กล่าวหาพระประมุขจอร์แดนมีพฤติการณ์ทุจริต เล่นพรรคเล่นพวก และปกครองด้วยระบอบเผด็จการ

ในวิดีโอที่ส่งให้บีบีซีเมื่อวันเสาร์ (3) พระองค์ทรงวิจารณ์การไร้ความสามารถอย่างกว้างขวางซึ่งเผยให้เห็นในโครงสร้างการปกครองช่วง 15-20 ปีที่ผ่านมา และสำทับว่า ทุกคนที่พูดเรื่องนี้จะถูกข่มเหง จับกุม ล่วงละเมิด และข่มขู่

เจ้าชายฮัมซาปฏิเสธว่า ไม่ได้เกี่ยวข้องกับแผน “ชั่วช้า” และบอกว่า พลเอกยูสเซฟ ฮูเนติ ประธานเสนาธิการกองทัพบกจอร์แดน สั่งตัดโทรศัพท์และอินเทอร์เน็ตของพระองค์

ทั้งนี้ สมเด็จพระราชาธิบดีอับดุลเลาะห์ที่ 2 ทรงแต่งตั้งเจ้าชายฮัมซาห์ พระอนุชาต่างพระมารดา เป็นมกุฎราชกุมาร ตามความประสงค์ของพระราชบิดา คืออดีตกษัตริย์ฮุสเซน ทว่าในปี 2004 ได้ทรงถอดเจ้าชายฮัมซาห์และแต่งตั้งเจ้าชาย ฮุสเซน บิน อับดุลเลาะห์ พระราชโอรสองค์โตของพระองค์เองเป็นรัชทายาทแทน

อาหมัด อาวัด ประธานสถาบันวิจัยฟินิกซ์ เซ็นเตอร์ ฟอร์ อิโคโนมิก แอนด์ อินฟอร์เมติกส์ ในกรุงอัมมาน ชี้ว่า เหตุการณ์นี้เป็นแค่จุดเริ่มต้นของวิกฤตการณ์ในจอร์แดน และสะท้อนความจำเป็นในการปฏิรูปการเมือง เศรษฐกิจ และประชาธิปไตย

วิกฤตการณ์นี้ยังตีแผ่ความแตกแยกในจอร์แดนที่ถูกมองมาตลอดว่า เป็นป้อมปราการแห่งเสถียรภาพของตะวันออกกลาง

วอชิงตัน ตลอดจนมหาอำนาจในอ่าวเปอร์เซียอย่างอียิปต์ และสันนิบาตอาหรับ ตลอดจนถึงรัสเซีย ต่างประกาศสนับสนุนกษัตริย์จอร์แดน

แม้มีประชากรเพียง 10 ล้านคน แต่จอร์แดนมีความสำคัญทางยุทธศาสตร์สำหรับตะวันออกกลาง มากกว่าจำนวนประชากรหลายเท่า

นอกจากมีพรมแดนติดกับอิสราเอลและเขตยึดครองในเวสต์แบงก์ ซีเรีย อิรัก และซาอุดีอาระเบียแล้ว จอร์แดนยังเป็นที่ตั้งกองทหารอเมริกัน ขณะที่มีชาวปาเลสไตน์หลายล้านคนและผู้ลี้ภัยซีเรียอีกกว่าครึ่งล้านอาศัยอยู่

วอชิงตันโพสต์เป็นสื่อแห่งแรกที่รายงานเรื่องเจ้าชายฮัมซาห์ถูกกักบริเวณเมื่อวันเสาร์ ระหว่างที่มีการสอบสวนแผนการบ่อนทำลายความมั่นคงของประเทศ

วันอาทิตย์ (4) ไอมาน ซาฟาดี รัฐมนตรีต่างประเทศจอร์แดน กล่าวหาว่า พวกที่วางแผนการดังกล่าวเชื่อมโยงกับชาวต่างชาติคนหนึ่งที่มีสายสัมพันธ์กับหน่วยข่าวกรองต่างชาติ และพวกเขาเสนอพาชายาของเจ้าชายฮัมซาห์ออกจากจอร์แดน

ในเวลาต่อมา รอย ชาปอชนิก เพื่อนสนิทชาวอิสราเอลของเจ้าชายฮัมซาห์ เผยว่า เขาเป็นผู้ที่เชิญชายาและโอรสธิดา ของเจ้าชายฮัมซาห์ไปพักผ่อนที่บ้านในยุโรป หลังจากที่พระองค์แสดงความกังวลกับความปลอดภัยของครอบครัว

ชาปอชนิกยืนยันว่า ไม่ได้ทำงานให้หน่วยข่าวกรองใดๆ รวมทั้งไม่รู้เห็นหรือเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ต่างๆ ในจอร์แดน

ด้านฮูเนติประกาศเมื่อวันจันทร์ว่า กองทัพบกและหน่วยงานความมั่นคงของจอร์แดนมีศักยภาพและความเป็นมืออาชีพที่จำเป็นในการเผชิญหน้ากับความพยายามบ่อนทำลายความมั่นคงของประเทศ

บาราห์ มิคาอิล ผู้อำนวยการบริษัทที่ปรึกษา สแตรคเตเจีย ตีความว่า เป็นความพยายามของจอร์แดนในการออกมารับประกันอย่างรวดเร็วกับนานาชาติว่า สามารถควบคุมสถานการณ์ได้

รัฐบาลออกมาห้ามสื่อเสนอข่าวแล้ว

หลังจากศึกชิงอำนาจดูเหมือนคลี่คลายไปในระดับหนึ่ง ในวันอังคาร (6) อัยการ ฮัสซัน อัล อับดัลลัต ของจอร์แดน ได้ออกคำแถลงระบุว่า เพื่อเก็บรักษาความลับเรื่องการสอบสวนเกี่ยวกับเจ้าชายฮัมซาห์ของหน่วยงานความมั่นคง ตลอดจนความลับอื่นๆ จึงสั่งห้ามไม่ให้มีการตีพิมพ์เผยแพร่เรื่องใดๆ ซึ่งเกี่ยวข้องกับการสืบสวนสอบสวนนี้ในขั้นตอนนี้

“การห้ามตีพิมพ์เผยแพร่นี้ครอบคลุมถึงสื่อด้านเสียงและภาพทั้งหมดตลอดจนเครือข่ายสื่อสังคมทั้งหมด รวมทั้งห้ามการตีพิมพ์เผยแพร่ภาพหรือคลิปวิดีโอเกี่ยวกับหัวข้อนี้ ไม่เช่นนั้นจะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย”

(ที่มา: เอเอฟพี, เอเจนซีส์)