xs
xsm
sm
md
lg

แบนได้แบนไป! ‘ทรัมป์’ เตรียมเปิดแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียของตัวเองในอีก 2-3 เดือน

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ไม่ปล่อยให้แฟนคลับต้องรอนาน ล่าสุด อดีตประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ เตรียมจะเปิดตัวแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียของตัวเองในอีก 2-3 เดือนข้างหน้า หลังจากที่โดนทั้งเฟซบุ๊กและทวิตเตอร์แบนถาวร

เจสัน มิลเลอร์ อดีตที่ปรึกษาของทรัมป์ ให้สัมภาษณ์กับฟ็อกซ์นิวส์เมื่อวันอาทิตย์ (21 มี.ค.) ว่า “ผมเชื่อว่า เราน่าจะได้เห็นประธานาธิบดี ทรัมป์ กลับมาใช้สื่อสังคมออนไลน์อีกครั้งภายในไม่เกิน 2-3 เดือน”

“มันจะเป็นการพลิกเกมอย่างสิ้นเชิง และทุกคนก็คงจะรอคอยเพื่อดูว่าอดีตประธานาธิบดี ทรัมป์ จะทำอะไรกันแน่ แต่ที่แน่ๆ คือมันจะเป็นแพลตฟอร์มของท่านเอง”

ตลอด 4 ปีที่ดำรงตำแหน่งผู้นำสหรัฐฯ ทรัมป์ใช้โซเชียลมีเดียเป็นช่องทางหลักในการเผยแพร่นโยบาย วิจารณ์ผู้เห็นต่าง และปลุกระดมฐานเสียงของตนเอง โดยบัญชีทวิตเตอร์ของเขานั้นมีผู้ติดตามมากถึง 88 ล้านคน

อย่างไรก็ตาม บัญชี @realDonaldTrump ได้ถูกทวิตเตอร์ระงับการใช้งานอย่างถาวร หลังจากที่ ทรัมป์ ใช้มันเชิญชวนผู้สนับสนุนให้บุกไปปิดล้อมอาคารรัฐสภาในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. เมื่อวันที่ 6 ม.ค. ที่ผ่านมา

ทรัมป์ ยังโดนแบนทั้งแบบถาวรและชั่วคราวโดยแพลตฟอร์มอื่นๆ ได้แก่ เฟซบุ๊ก, อินสตาแกรม, YouTube และ Snapchat

ตั้งแต่เก็บข้าวของย้ายออกจากทำเนียบขาว กลับไปใช้ชีวิตอยู่ที่รีสอร์ต มาร์-อา-ลาโก ในฟลอริดา อดีตประธานาธิบดีสายรีพับลิกันผู้นี้ ค่อนข้างจะเก็บเนื้อเก็บตัว และมีการออกคำแถลงบ้างเป็นครั้งคราวเท่านั้น

แต่ มิลเลอร์ ยืนยันว่า ตลอด 2 เดือนที่ผ่านมา ทรัมป์ไม่ได้อยู่เฉย

“ท่านได้หารือกับบุคคลระดับแถวหน้าที่ มาร์-อา-ลาโก และมีทีมงานเข้าไปพบอยู่เรื่อยๆ รวมถึงตัวแทนบริษัทมากมายหลายแห่ง” มิลเลอร์ กล่าว

“แพลตฟอร์มใหม่ของท่านจะยิ่งใหญ่อลังการแน่นอน และทุกคนก็ต้องการสื่อสารกับท่าน ท่านจะดึงดูดผู้ติดตามหลายสิบล้านคนมายังแพลตฟอร์มนี้”

มิลเลอร์ ปฏิเสธที่จะให้รายละเอียดเพิ่มเติม และไม่บอกด้วยว่าตนเองเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับแพลตฟอร์มที่ว่านี้หรือไม่

แม้จะพ่ายแพ้ให้กับ โจ ไบเดน จากพรรคเดโมแครตในศึกเลือกตั้งประธานาธิบดีเมื่อเดือน พ.ย. ปีที่แล้ว แต่ ทรัมป์ ยังคงมีอิทธิพลสูงมากต่อพรรครีพับลิกัน และเจ้าตัวก็ไม่ปฏิเสธโอกาสที่จะกลับมาลงสนามเลือกตั้งเพื่อชิงเก้าอี้ประธานาธิบดีอีกสมัยในปี 2024

ที่มา: เอเอฟพี


กำลังโหลดความคิดเห็น