ราคาน้ำมันขยับขึ้นในวันพุธ (10 มี.ค.) แม้คลังปิโตรเลียมสำรองสหรัฐฯเพิ่มขึ้นอย่างมาก หลังฟื้นตัวจากพายุฤดูหนาวถล่มเทกซัสเมื่อเดือนที่แล้ว ส่วนวอลล์สสตรีท ปิดบวก คลายกังวลเกี่ยวกับเงินเฟ้อและสภาคองเกรสใกล้เห็นชอบสุดท้ายแพกเกจเยียวยาผลกระทบโควิด-19 ขณะที่ทองคำปรับขึ้น 2 วันติด
สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เทกซัส อินเตอร์มีเดียต หรือไลต์สวีตครูด งวดส่งมอบเดือนเมษายน เพิ่มขึ้น 43 เซนต์ ปิดที่ 64.44 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ด้านเบรนต์ทะเลเหนือลอนดอน งวดส่งมอบเดือนพฤษภาคม เพิ่มขึ้น 38 เซนต์ ปิดที่ 67.90 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
ข้อมูลรัฐบาลสหรัฐฯพบกำลังผลิตน้ำมันดิบของประเทศเพิ่มขึ้นเป็น 10.96 ล้านบาร์เรลต่อวัน ฟื้นตัวสู่ระดับใกล้ๆ ก่อนเผชิญพายุฤดูหนาว ขณะที่อัตราของการกลั่นเพิ่มขึ้น 13 จุด แต่ศักยภาพที่ใช้โดยรวมยังอยู่ที่ระดับ 69% ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยตามฤดูกาลสำหรับช่วงเวลานี้ของปีมากพอสมควร
ด้าน เอสแอนด์พี 500 ปิดบวกในวันพุธ (10 มี.ค.) และดาวโจนส์ทุบสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ หลังข้อมูลราคาผู้บริโภคที่ซึมเซาในเดือนกุมภาพันธ์ สยบความกังวลเกี่ยวกับภาวะเงินเฟ้อ และจับตาสภาคองเกสใกล้เห็นขอบขั้นสุดท้าย หนึ่งในมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์สหรัฐฯ
ดาวโจนส์ เพิ่มขึ้น 464.28 จุด (1.46 เปอร์เซ็นต์) ปิดที่ 32,297.02 จุด เอสแอนด์พี เพิ่มขึ้น 23.37 จุด (0.60 เปอร์เซ็นต์) ปิดที่ 3,898.81 จุด แนสแดค ลดลง 4.99 จุด (0.04 เปอร์เซ็นต์) ปิดที่ 13,068.83 จุด
นักลงทุนยังคงหมุนเวียนเข้าสู่หุ้นภาคพลังงานและการเงิน ท่ามกลางความคาดหมายว่า การใช้จ่ายผู้บริโภคจะฟื้นตัวครั้งที่สหรัฐฯกลับมาเปิดเศรษฐกิจอีกรอบ พร้อมกับเทขายหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี ซึ่งเป็นตัวขับเคลื่อนวอลล์สตรีทมาตั้งแต่เดือนมีนาคมปีก่อน
กระทรวงแรงงานสหรัฐฯเผยแพร่รายงานบ่งชี้ว่า ดัชนีราคาผู้บริโภคหลัก ไม่นับรวมหมวดอาหารและพลังงาน ซึ่งเป็นมาตรวัดเงินเฟ้อจากการใช้จ่ายของผู้บริโภค เพิ่มขึ้นน้อยกว่ามที่คาดหมายไว้เมื่อเดือนที่แล้ว
นอกจากนี้ ตลาดยังได้แรงหนุนจากการคาดการณ์ที่ว่า สภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯจะลงมติให้ความเห็นชอบต่อมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจวงเงิน 1.9 ล้านล้านดอลลาร์ในวันนี้ เพื่อเยียวยาชาวอเมริกันและภาคธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19
ส่วนราคาทองคำในวันพุธ (10 มี.ค.) ขยับขึ้น 2 วันติดเป็นครั้งแรกในรอบ 2 สัปดาห์ หลังดอลลาร์ทรงตัว โดยราคาทองคำตลาดโคเม็กซ์ งวดส่งมอบเดือนเมษายน เพิ่มขึ้น 4.90 ดอลลาร์ ปิดที่ 1,721.80 ดอลลาร์ต่อออนซ์
(ที่มา: รอยเตอร์)
