ไม่เป็นความจริงหากคิดว่าโลกจะจบศึกโรคระบาดใหญ่โควิด-19 ในช่วงสิ้นปีนี้ จากคำเตือนขององค์การอนามัยโลก (WHO) ในวันจันทร์ (1 มี.ค.) พร้อมเน้นย้ำจะพลาดมหันต์ถ้าพึ่งพาวัคซีนแต่เพียงอย่างเดียว ระบุมาตรการสาธารณสุขขั้นพื้นฐานยังคงมีความสำคัญ
ไมค์ ไรอัน ผู้อำนวยการบริหารฝ่ายโครงการฉุกเฉินขององค์การอนามัย เชื่อว่ามีความเป็นไปได้ที่จะนำเรื่องเศร้าออกจากวิกฤตไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ ด้วยการลดจำนวนผู้ติดเชื้ออาการหนักถึงขั้นเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาล และลดจำนวนผู้เสียชีวิต
ไรอัน ระบุว่า ไวรัสยังคงอยู่ภายใต้การควบคุม แม้พบผู้ติดเชื้อใหม่รายสัปดาห์ทั่วโลกเพิ่มขึ้นเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว หลังจากก่อนหน้านี้ลดลงมา 6 สัปดาห์ติดต่อกัน
“มันจะเร็วเกินไปมาก และผมคิดว่าไม่เป็นจริงหากคิดว่าเรากำลังจบศึกไวรัสนี้ในช่วงสิ้นปี” ไรอันบอกกับพวกผู้สื่อข่าว “แต่ผมคิดว่าหากเราฉลาดพอ เราสามารถจบมันด้วยจำนวนผู้เข้ารักษาตัวในโรงพยาบาล ผู้เสียชีวิต และเรื่องเศร้าที่เกี่ยวข้องกับโรคระบาดใหญ่”
ไรอัน บอกว่า การฉีดวัคซีนแก่บรรดาเจ้าหน้าที่สาธารณสุขแนวหน้า และกลุ่มคนที่อ่อนแอต่อการติดเชื้ออาการรุนแรง จะช่วยนำเอาความกลัวออกจากโรคระบาดใหญ่ แต่เขาเสริมว่าความคืบหน้าเร็วๆ นี้ไม่ใช่ของตาย แม้เวลานี้สถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสส่วนใหญ่แล้วอยู่ภายใต้การควบคุม
เทดรอส แอดฮานอม เกรเบเยซุส ผู้อำนวยการองค์การอนามัยโลก ระบุว่า เคสผู้ติดเชื้อใหม่ที่เพิ่มขึ้นเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ทั้งในยุโรป ทวีปอเมริกา เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และแถบตะวันออกของทะเลเมดิเตอร์เรเนียน “เป็นสิ่งที่น่าผิดหวัง แต่ไม่ใช่เรื่องน่าประหลาดใจ”
“บางส่วนดูเหมือนจะเกี่ยวข้องกับการผ่อนปรนมาตรการต่างๆ ด้านสาธารณสุข ไวรัสตัวกลายพันธุ์ที่ยังคงวนเวียน และประชาชนการ์ดตก วัคซีนจะช่วยปกป้องชีวิต แต่หากประเทศทั้งหลายพึ่งพิงวัคซีนเพียงอย่างเดียว พวกเขาทำกำลังผิดพลาด มาตรการสาธารณสุขขั้นพื้นฐานยังคงเป็นพื้นฐานของแนวทางตอบสนอง”
มาเรีย ฟาน เคิร์กโฮฟ หัวหน้าฝ่ายเทคนิคโควิด-19 องค์การอนามัยโลก เสริมว่า “ข้อมูลเมื่อสัปดาห์ที่แล้วบอกอะไรกับเราบ้าง มันบอกว่าไวรัสจะฟื้นคืนหากเราปล่อยมัน เราไม่สามารถปล่อยวางจากมัน”
ผู้อำนวยการองค์การอนามัยโลกต้องการเห็นวัคซีนโควิด-19 มุ่งหน้าสู่ทุกประเทศในช่วง 100 วันแรกของปี 2021 นั่นหมายความว่ามันเหลือเวลาอีกเพียง 40 วัน
เขาแสดงความยินดีที่วัคซีนชุดแรกภายใต้โครงการโคแว็กซ์ได้มีการส่งมอบและเริ่มฉีดเป็นที่เรียบร้อยแล้วในกานาและไอวอรีโคสต์ “มันน่ายินดีที่ได้เห็นบรรดาเจ้าหน้าที่สาธารณสุขในประเทศต่างๆ ที่มีรายได้ต่ำได้ฉีดวัคซีน แต่มันน่าเสียใจที่มันเกิดขึ้นเกือบ 3 เดือน หลังบรรดาชาติร่ำรวยบางประเทศเริ่มโครงการฉีดวัคซีนของตนเอง”
“และมันน่าเสียใจยิ่งกว่าที่เห็นบางประเทศเดินหน้าวางเป้าหมายฉีดวัคซีนแก่คนหนุ่มสาว คนวัยผู้ใหญ่สุขภาพแข็งแกร่งที่มีความเสี่ยงระดับต่ำต่อเชื้อไวรัสในหมู่ประชากรของตนเอง ก่อนหน้าบรรดาเจ้าหน้าที่สาธารณสุขและคนชราในประเทศอื่นๆ จะได้รับวัคซีนด้วยซ้ำ” เขากล่าวโดยไม่ได้พาดพิงชื่อประเทศ