วัคซีนป้องกันโควิด-19 ของจีนล็อตแรกถูกส่งไปถึงฟิลิปปินส์แล้ว เมื่อวันอาทิตย์ (28 ก.พ.) ทว่า ประธานาธิบดี โรดริโก ดูเตอร์เต ปฏิเสธที่จะเข้ารับการฉีดเป็นคนแรก โดยอ้างความเห็นของแพทย์ซึ่งขอให้รอวัคซีนตัวอื่น
ดูเตอร์เต เป็นประธานในพิธีรับมอบวัคซีน ‘โคโรนาแวค’ ของบริษัท ซิโนแวค ไบโอเทค จำนวน 600,000 โดส ซึ่งรัฐบาลจีนบริจาคให้ฟิลิปปินส์ใช้ฟรีๆ และจะทยอยจัดส่งให้อีก 25 ล้านโดส ภายในปีนี้
เครื่องบินทหารของจีนนำวัคซีนมาถึงฐานทัพอากาศวิลลามอร์ในเมืองปาไซ (Pasay) เมื่อเวลา 16.10 น. ตามเวลาท้องถิ่น ซึ่ง ดูเตอร์เต เน้นย้ำว่า แม้จีนจะบริจาควัคซีนให้แก่ประเทศอื่นๆ มากมาย แต่มีฟิลิปปินส์เพียงชาติเดียวเท่านั้นที่จีนลงทุนจัดส่งมาให้ด้วยตัวเอง
“จีนได้บริจาควัคซีนให้หลายประเทศ แต่มีเพียงวัคซีนที่ให้กับฟิลิปปินส์เท่านั้นที่ถูกส่งมาด้วยเครื่องบินของรัฐบาลจีน” ผู้นำขาโหดระบุ
“ผมอยากจะบอกว่า ในช่วงปลายปีนี้ ถ้าสถานการณ์ดีขึ้น ผมอยากจะเดินทางไปเยือนจีนเป็นระยะเวลาสั้นๆ เพื่อจับมือกับประธานาธิบดี สี จิ้นผิง และขอบคุณเขาด้วยตัวเองที่ได้มอบวัคซีนให้กับเรา”
อย่างไรก็ดี ผู้นำฟิลิปปินส์ วัย 77 ปี ปฏิเสธที่จะเข้ารับวัคซีนเป็นคนแรก โดยให้เหตุผลว่าแพทย์ประจำตัวขอให้รอ “วัคซีนจีนตัวอื่น” เนื่องจากวัคซีนของซิโนแวคนั้น มีคำแนะนำทางคลินิกให้ฉีดเฉพาะในผู้ที่มีอายุระหว่าง 18-59 ปี
เขายอมรับว่าตนเอง “เจาะจง” เลือกที่จะฉีดวัคซีนยี่ห้อหนึ่งเอาไว้แล้ว
คำแถลงของ ดูเตอร์เต สะท้อนให้เห็นถึงความไม่เชื่อมั่นวัคซีนในหมู่ชาวฟิลิปปินส์ โดยผลสำรวจความคิดเห็นพบว่า มีชาวฟิลิปปินส์ไม่ถึง 1 ใน 3 ที่เต็มใจฉีดวัคซีนในตอนนี้ เนื่องจากเกรงว่าจะเกิดผลข้างเคียง
รัฐบาลฟิลิปปินส์มีแผนที่จะฉีดวัคซีนให้แก่บุคลากรทางการแพทย์, ตำรวจ และทหารก่อนเป็นอันดับแรก และได้ทำสัญญาสั่งซื้อวัคซีนกับผู้ผลิตอีกหลายราย โดยตั้งเป้าสร้างภูมิคุ้มกันให้แก่พลเมือง 70 ล้านคน หรือราว 2 ใน 3 ของประชากรทั้งหมด
ฟิลิปปินส์ได้รับวัคซีนล็อตแรกช้าที่สุดในบรรดาเพื่อนบ้านอาเซียน ซึ่งทำให้หลายฝ่ายกังวลว่าการฟื้นฟูเศรษฐกิจที่ถดถอยเป็นประวัติการณ์จากผลกระทบของโควิด-19 อาจจะล่าช้าตามไปด้วย
“สิ่งที่พวกคุณเห็นในวันนี้ คือ วัคซีนที่เราได้รับบริจาคมา และปัญหาก็คือทุกๆ ประเทศต่างพยายามกว้านซื้อวัคซีนกันหมด” ดูเตอร์เต ระบุ
“จนกว่าจะมีอุปทานส่วนเกิน เราคงต้องรอกันสักพัก”
ผู้นำฟิลิปปินส์รับปากว่าจะผ่อนคลายข้อจำกัดทางสังคมมากยิ่งขึ้นเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่ต้องรอจนกว่าจะมีวัคซีนใช้มากกว่านี้
ที่มา: รอยเตอร์, Inquirer