เมื่อวาเลนไทนปีที่แล้ว ผู้คนในสหรัฐอเมริกาไม่รู้เลยว่าพวกเขาจะต้องเผชิญมหาวิบัติครั้งร้ายแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ของประเทศ
ชีวิตในเดือนกุมภาพันธ์ 2020 ยังไม่ถึงกับโกลาหล แม้ความกังวลจะทวีตัวมากขึ้นต่อเรื่องของโรคลึกลับในระบบทางเดินหายใจซึ่งถูกขนานนามว่าโควิด-19 มีการแตกตื่นซื้อของใช้ตุนไว้เผื่อฉุกเฉินบ้าง มีความหวาดหวั่นก่อตัวบ้าง กระนั้นก็ตาม คนอเมริกันยังรู้สึกกันว่าโรคโควิด-19 เป็นปัญหาของประเทศอื่น และเป็นเรื่องไกลตัว ทั้งที่ได้เริ่มมีการประกาศกรณีเสียชีวิตด้วยโรคโควิด-19 รายแรกของประเทศกันแล้วก็ตาม
หนึ่งปีผ่านไป อเมริกามีผู้เสียชีวิดจากโรคโควิด-19 มากที่สุดของโลก ด้วยหลักไมล์อันน่าสยดสยอง ณ 500,000 ราย
สหรัฐฯ ซึ่งมั่งคั่งและทรงอำนาจ มาถึงจุดแห่งมหาวิปโยคซึ่งไม่เคยมีใครคาดคิดมาก่อนนี้ ได้อย่างไร
สำนักข่าวเอพีจัดทำบันทึกเรื่องราวและภาพถ่ายที่จารึกถึงความทุกข์ตรม ความเจ็บปวด และความทรหดของผู้คนในประเทศ บันทึกที่จะแสดงให้เห็นว่ากาลเวลาหนึ่งปีได้เปลี่ยนแปลงอเมริกาไปอย่างมหาศาลราวใด
ในช่วงแรก วิกฤตโรคระบาดดูเป็นเรื่องไกลตัว
เดือนกุมภาพันธ์ 2020 คนอเมริกันยังทักทายกันด้วยประเพณีจับมือเช็กแฮนด์ และเดินทางไปทำงานด้วยระบบขนส่งสาธารณะอันแน่นขนัด เด็กๆ ยังศึกษาหาความรู้อยู่ในห้องเรียนปกติ ทอม แฮงก์ส ดาราคนดังแห่งฮอลลีวูดยังเดินบนพรมแดงในงานประกวดผลรางวัลออสการ์โดยไม่ทราบชะตากรรมว่าอีกหนึ่งเดือนข้างหน้า เขาและศรีภรรยาจะติดเชื้อโควิด-19 ฝูงชนยังไปร่วมชมกิจกรรมกีฬาอย่างเนืองแน่นโดยไม่สวมหน้ากากอนามัยที่จะช่วยป้องกันการติดเชื้อ
และแล้ว สัญญาณลางร้ายใกล้แผ่นดินอเมริกาปรากฏขึ้น เมื่อ The Grand Princess เรือสำราญไซส์ยักษ์อลังการ ที่สุดแห่งความเลิศหรู ล่องลำออกจากชายฝั่งแคลิฟอร์เนียไปสู่มหาสมุทรโดยมีผู้โดยสาร 3 รายที่ไม่รู้ตัวว่าติดเชื้อโควิด-19 แล้ว ร่วมเดินทางไปด้วย แนวทางการจัดการในช่วงต้นที่กำหนดโดยผู้มีอำนาจระดับรัฐและระดับประเทศเพื่อแก้ปัญหาการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อโควิด-19 บนเรือสำราญนี้ ด้วยการห้าม The Grand Princess กลับเข้าชายฝั่ง ได้กลายเป็นสัญลักษณ์บ่งชี้ความเชื่อผิดๆ ของอเมริกาว่าตนสามารถกางกั้นไม่ให้โรคร้ายนี้เข้าสู่ประเทศ
ในวันคืนที่เชื้อไวรัสโควิด-19 กำลังคืบคลานเข้าสู่สหรัฐฯ ถ้อยคำสำคัญ อาทิ ปิดเมือง ปิดประเทศ สร้างระยะห่างทางสังคม ยังไม่อยู่ในคลังศัพท์ของผู้คนในอเมริกา นอกจากนั้นยังแทบจะไม่มีประชาชนที่ยอมสวมหน้ากากอนามัยในที่แออัด เช่น ในขณะเบียดเสียดกันในซูเปอร์มาร์เกตเพื่อแย่งซื้อกระดาษชำระก่อนที่สินค้าจะเกลี้ยงไปจากหิ้ง หรือขณะต่อคิวยาวเหยียดเพื่อซื้อข้าวของเครื่องใช้ไปตุนไว้เผื่อมีกรณีฉุกเฉิน
ดวงใจสลาย-สภาพจิตใจท้อแท้ : ชะตากรรมนี้มาถึงไวมาก
สภาพการณ์ดั่งฝันร้ายอันน่าหวาดกลัวซึ่งประชาชนในอเมริกาได้เห็นจากประสบการณ์ตรงของประเทศจีนและประเทศอิตาลีได้มาถึงแผ่นดินสหรัฐฯ รวดเร็วเกินคาด
บรรดาบ้านพักคนชราใกล้เมืองซีแอตเทิลกลายเป็นแหล่งการระบาดของโรคติดเชื้อโควิด-19 รุ่นแรกที่ร้ายกาจอย่างที่สุดของสหรัฐฯ ผู้คนในอเมริกาตลอดจนประเทศต่างๆ ทั่วโลกได้เห็นภาพอันน่าสะเทือนใจที่ผู้ชราและผู้เจ็บป่วยอ่อนแอต้องทนทุกข์ต่อสู้โรคร้ายไปตามลำพัง ดังเช่นที่ได้เห็นในภาพที่ 4 ว่าคุณยายอายุมากกว่า 80 ปี ซึ่งติดเชื้อโควิด-19 ต้องนอนพักรักษาตัวโดยที่ญาติไม่สามารถเข้าไปดูแลโอบกอดให้กำลังใจ ในภาพนี้คุณลูกสาวได้แต่นั่งให้แม่เห็นหน้า จากอีกข้างหนึ่งของกำแพงแก้วด้านนอกอาคาร และสนทนากันผ่านโทรศัพท์มือถือ ตามมาตรการเข้มงวดเพื่อป้องกันการแพร่ระบาด
ในเดือนมีนาคม 2020 องค์การอนามัยโลกประกาศสถานการณ์วิกฤตโรคระบาดโควิด-19 หลังจากนั้น สถานที่ทุกแห่งนับจากสถานศึกษา ไปจนถึงสำนักงานธุรกิจ กลายเป็นสถานที่ว่างเปล่า ด้านสมาคมกีฬาอุดมศึกษาแห่งชาติ หรือ เอ็นซีเอเอ ประกาศจัดการแข่งขันบาสเก็ตบอลระหว่างสถานศึกษาแบบถ่ายทอดสด โดยเป็นการเล่นต่อหน้าเก้าอี้ว่างๆ เต็มสนามการแข่งขัน แต่ไม่นานหลังจากนั้น ก็ประกาศยกเลิกการแข่งขัน
ชื่อของ ดร.แอนโทนี เฟาซี ผู้เชี่ยวชาญระดับแถวหน้าของสหรัฐฯ ในด้านโรคติดเชื้อ กลายเป็นชื่อสามัญประจำบ้านของชาวประชาในอเมริกา เพราะมีการเอ่ยนามคุณหมอเฟาซีทุกวันในการแถลงข่าวสถานการณ์โรคโควิด-19 กระนั้นก็ตาม เมื่อ ดร.เฟาซีออกมาประกาศเมื่อเดือนมีนาคมเพื่อให้ตัวเลขประมาณการว่าจะมีชาวอเมริกันจำนวนไม่น้อยกว่า 100,000 หรือไม่เกิน 200,000 ราย ต้องเสียชีวิตจากโรคไวรัสวายร้ายนี้ สาธารณชนรู้สึกผวากลัว แต่ส่วนมากเลือกที่จะไม่เชื่อ
ด้านประธานาธิบดีโรนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งดำรงตำแหน่งนี้ในปี 2020 กลับโน้มน้าวประชาชนด้วยการเสนอว่ายา ไฮดรอกซีคลอโรควิน (hydroxychloroquine) ซึ่งเป็นยาต้านมาลาเรีย จะเป็น “ตัวพลิกเกม” ในการต่อสู้เอาชนะโรคโควิด-19 ทว่า ผู้เชี่ยวชาญด้านการแพทย์พากันคัดค้าน
ชีวิตในกระแสความรีบเร่งกระฉับกระเฉงของผู้คนในสหรัฐฯ ต้องมาถึงภาวะนิ่งงัน เมื่อพื้นที่การระบาดรุนแรงของโรคโควิด-19 ปรากฏขึ้นคู่ขนานกันมหาศาลในทุกรัฐทั่วประเทศ
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในมหานครนิวยอร์กอันเกรียงไกร
ย่านไทม์สแควร์ยังเจิดจรัสด้วยแสงสีสดใสและไฮเทค แต่ฝูงชนและพลังอันคึกคักแห่งเศรษฐกิจและความบันเทิงได้สูญหายไป บรรยากาศสนุกสนานของชีวิตเดือนเมษายนในมหานครนิวยอร์กกลายเป็นความสงัดน่าหดหู่ที่ชวนให้นึกถึงวันสิ้นโลก เพราะถนนที่ปราศจากผู้คน แลดูเป็นหนังผีวิญญาณหลอนด้วยรถพยาบาลแผดเสียงหวอกึกก้องทั้งขาขึ้นและขาล่องแทบจะตลอดเวลา บริเวณด้านนอกของโรงพยาบาลต่างๆ เต็มไปด้วยรถห้องเย็นจอดรอให้บริการเก็บรักษาบรรดาร่างไร้วิญญาณของเหยื่อโควิด-19 ที่ถูกห่อมาในถุงป้องกันเชื้อโรคแพร่กระจาย พื้นที่เหล่านี้กลายเป็นห้องเก็บศพชั่วคราว พร้อมกับเป็นสัญลักษณ์แห่งความตายที่กระแทกขวัญของผู้พบเห็น
ชีวิตปลิดปลิวเกลื่อนกล่นดั่งใบไม้ร่วงในห้วงแห่งฤดูใบไม้ผลิ
เมื่อชีวิตปลิดปลิวเกลื่อนกล่นราวกับใบไม้ร่วงในห้วงแห่งฤดูใบไม้ผลิ เมษายน 2020 อัตราตายด้วยโรคระบาดโควิด-19 ในแต่ละวันพุ่งทะยานสูงลิ่วกระทั่งว่าล้นหลามเกินศักยภาพของโรงพยาบาล สถานจัดพิธีศพ วัด สุสาน ฯลฯ ผู้คนในสหรัฐฯ จึงต้องตกอยู่ในชะตากรรมละม้ายประเทศแถบอเมริกาใต้อย่างเอกวาดอร์
จำนวนศพแห่งเหยื่อโควิด-19 ในมหานครนิวยอร์กมีล้นพ้นกระทั่งว่า บางส่วนของศพไม่มีญาติจะถูกบรรจุลงในโลงกระดาษรอส่งเข้าเตาเผา และอีกมากมายมหาศาลถูกนำไปฝังในหลุมรวมหมู่ในสุสาน City Cemetery อันเป็นสุสานของทางการนิวยอร์กซิตี้บนเกาะฮาร์ตไอส์แลนด์ใกล้ชายฝั่งของเขตบรองซ์ ซึ่งมีอยู่ตั้งแต่ปี 1869 เพื่อฝังศพไร้ญาติ
ภาพถ่ายจากมุมสูงที่เอพีบันทึกไว้ เป็นอีกหนึ่งภาพที่ชาวอเมริกันไม่เคยคาดคิดว่าจะต้องประสบกับชะตาชีวิตของคนร่วมชาติที่น่าอนาถใจเยี่ยงนี้ เหล่าเจ้าหน้าที่ในชุดป้องกันการสัมผัสเชื้อโรคที่ปิดมิดชิดตั้งแต่ศีรษะจดปลายเท้าค่อยๆ หย่อนโลงศพนับร้อยลงในหลุมศพรวมหมู่ที่ลึกมาก ลักษณะเป็นหลุมขนาดสี่เหลี่ยมแถบยาวเหยียด แต่ละโลงถูกบรรจงหย่อนลงไปตั้งเรียงรายและตั้งซ้อนเทินทับกันขึ้นไปสามชั้น
ผู้คนในอเมริกาทั้งทึ่งทั้งพิศวงกับความกล้าหาญและทุ่มเทที่บุคลากรด้านสาธารณสุขปฏิบัติอย่างต่อเนื่องไม่เห็นแก่เหน็ดเหนื่อย เพื่อช่วยเหลือเหยื่อแห่งโควิด-19 ดังนั้น ในอันที่จะแสดงความขอบคุณ ณ เวลาหนึ่งทุ่มของทุกคืน คนนิวยอร์กช่วยกันปรบมือ ส่งเสียงร้องเชียร์ และตีหม้อตีกระทะ เป็นเกียรติแก่แพทย์และพยาบาลทั้งปวง
เหล่านี้เป็นการระลึกถึงความเจ็บปวดและทรมานไม่รู้จบที่บุคลากรทางการแพทย์ต้องแบกรับอยู่ในแนวหน้าแห่งสงครามอันโรมรับกับโรคร้ายโควิด-19
แม้จะมีความกลัวและความอ่อนล้า แต่บุคลากรทางการแพทย์ต่างไม่ย่อท้อกับการต่อสู้เพื่อรักษาชีวิตผู้ป่วย พร้อมทั้งตั้งปณิธานที่จะไม่ปล่อยให้เหยื่อของโควิด-19 ต้องจากโลกไปอย่างเดียวดาย ภายในห้องรักษาผู้ป่วยทั้งหลาย ผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 จำนวนนับไม่ถ้วนไม่สามารถมีญาติเข้าไปปลอบโยนให้กำลังใจ ภารกิจแห่งการปลอบประโลมใจตกอยู่ในมือของแพทย์ พยาบาลและอนุศาสนาจารย์ซึ่งล้วนแต่เหนื่อยหนักจากการปฏิบัติหน้าที่อย่างหักโหมเนิ่นนาน บางท่านต้องกลั้นสะอื้นขณะที่มอบการปลอบประโลมใจและคำภาวนาแก่ผู้ป่วยรายแล้วรายเล่า
ในท่ามกลางแรงกดดันอันน่าปวดร้าวนี้อนุศาสนาจารย์ท่านหนึ่งในรัฐจอร์เจียกล่าวว่า “ไม่เคยมีการตายครั้งใดที่มากมายเท่ากับครั้งนี้ มันท่วมทับอยู่บนดวงใจมันหนักหนาเหลือเกิน”
US กับความจริงสุดอัปยศ : สหรัฐฯ กลายเป็นจุดศูนย์กลางแห่งโรคโควิด-19 ที่ระบาดในระดับโลก
ผลจากนโยบายอันผิดพลาดของอดีตประธานาธิบดีทรัมป์ในการรับมือกับการระบาดของโรคโควิด-19 ความเป็นจริงอันเจ็บปวดจึงปรากฏขึ้นมาว่า ในท่ามกลางโรคระบาดโควิด-19 ในทุกหย่อมหญ้าทั่วโลกซึ่งมีความรุนแรงสาหัสที่สุดในประวัติศาสตร์ยุคใหม่นั้น สหรัฐฯ ได้กลายเป็นจุดศูนย์กลางแห่งโรคระบาดเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ชีวิตต้องไปเคลื่อนไหวอยู่ในโลกออนไลน์ ทุกสิ่งทุกอย่างนับจากการทำงาน การศึกษาเล่าเรียน ไปจนถึงการนัดแพทย์ การจัดปาร์ตี้วันเกิด การจัดพิธีแต่งงาน และเหนืออื่นใด การจัดพิธีศพ ล้วนแต่ดำเนินอยู่ในโลกออนไลน์
ยิ่งกว่านั้น ผู้คนในสหรัฐฯ ตระหนักชัดว่าไม่มีใครเลยที่ปลอดภัย แต่มีบางคนต้องตกอยู่ในความเสี่ยงมากกว่าผู้อื่นอย่างมหาศาล โดยเป็นไปในสภาพการณ์ที่มีความไม่เท่าเทียมในเชิงเชื้อชาติ กล่าวคือตัวเลขสถิติของทางการได้แสดงให้เห็นว่า ในบรรดาผู้ติดเชื้อโควิด-19 สัดส่วนของผู้ป่วยที่เป็นเชื้อชาติแอฟริกันและละตินนั้นพุ่งสูงเวอร์อย่างยิ่ง และทำนองเดียวกันในบรรดาผู้วายชนม์ด้วยโรคโควิด-19 สัดส่วนของรายที่เป็นเชื้อชาติแอฟริกันและลาติน ก็สูงเวอร์อย่างยิ่งเช่นกัน
การติดโรคโควิด-19 กลายเป็นอีกหนึ่งปัญหาใหญ่ที่เล่นงานเศรษฐกิจและสังคมของอเมริกา เพราะโรคระบาดรุนแรงนี้เป็นเหตุให้สังคมต้องปิดตัวเอง บังคับให้ธุรกิจต่างๆ ต้องหยุดลง ขณะที่ปัญหาอัตราการว่างงานทะยานสูงเสียดฟ้า รายได้ของผู้คนหลายล้านครัวเรือนต้องลดฮวบบ้าง ถูกตัดหายไปบ้าง ในเวลาเดียวกัน ปัญหาความอดอยากซึ่งรุนแรงอยู่แล้ว ต้องถูกกระหน่ำซ้ำเติมสาหัสยิ่งขึ้นไปทั่วประเทศ ผู้คนมหาศาลพากันเข้าคิวที่ฟูดแบงก์ศูนย์การบริจาคอาหาร โดยมีจำนวนมากที่ต้องรับอาหารบริจาคเป็นครั้งแรกในชีวิต
ยิ่งกว่านั้น อเมริกายังถูกซ้ำเติมจากฝ่ายการเมือง ซึ่งทิ้งขว้างหลักการคำแนะนำทางวิทยาศาสตร์ของผู้เชี่ยวชาญด้านสาธารณสุข อีกทั้งยังนำไปใช้เล่นงานโจมตีฝ่ายตรงข้าม ความแตกแยกภายในชาติที่ได้หยั่งรากลึกเป็นพิษร้ายอยู่ในสังคม จึงยิ่งบาดลึกลงไปอีก พร้อมกับทำให้ความตึงเครียดของประเทศเพิ่มทบทวีจนปรากฏออกมาให้เห็นอยู่ทั่วไป กระนั้นก็ตาม ในเวลาที่การประท้วงต่อต้านความไม่ยุติธรรมทางเชื้อชาติสีผิว กระตุ้นเร้าผู้คนให้ออกมาเข้าร่วมแน่นขนัดตามท้องถนนนั้น มาตรการสวมหน้ากากอนามัยเพื่อป้องกันการติดเชื้อโควิดก็ได้รับการปฏิบัติตามอย่างกว้างขวาง
ในท่ามกลางชีวิตที่ผิดปกติไปหมดนั้น คนอเมริกันมากมายสามารถสร้างสรรค์ความเป็นปกติเล็กๆ ให้แก่ตนเองได้บ้างเป็นครั้งคราว ทั้งนี้ ร้านอาหารถูกสั่งให้ขายอาหารเฉพาะแบบห่อกลับไปรับประทานที่บ้าน แต่ลูกค้าบางรายขับรถมาจอดหน้าร้าน นำโต๊ะ เก้าอี้ ผ้าปูโต๊ะ จานชามกระเบื้องงามหรูมาปักหลักเพลิดเพลินกับอาหารอิตาเลียนที่เจ้าของร้านขายแบบห่อใส่กล่อง
แสงเลือนรางแห่งความหวังปรากฏกลางธันวาคม
ภายในแวดล้อมแห่งการสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รักและญาติพี่น้องกับผองเพื่อน วัคซีนป้องกันเชื้อโควิด-19 ได้ก้าวเข้าสู่ชีวิตของผู้คนในสหรัฐฯ ในช่วงกลางเดือนธันวาคม 2020 ตามด้วยการรณรงค์ฉีดวัคซีนครั้งใหญ่โตที่สุดในประวัติศาสตร์ของประเทศ นับเป็นข่าวดีรายการแรกในปีแห่งหายนะก็ว่าได้ สังคมส่งเสียงเชียร์นโยบายการให้วัคซีนแก่กลุ่มแพทย์และพยาบาลเป็นกลุ่มแรก หลายคนน้ำตาร่วงในความโล่งใจที่ยุคยามแห่งความทุกข์ทรมานและโศกเศร้าอันยาวนานจะล่วงพ้นไปเสียที
เมื่อปริมาณวัคซีนค่อยๆ ทวีจำนวนขึ้นมา สถานที่แห่งความสุขสันต์หรรษาที่ร้างรานานหลายเดือน อาทิ สวนสนุกและสนามกีฬา ก็ได้กลับมารับใช้ชุมชนอีกคราหนึ่ง ด้วยการเป็นสถานที่เพื่อฉีดวัคซีนแก่ประชาชน
ในเทศกาลคริสต์มาสและปีใหม่ซึ่งเป็นวันเวลาแห่งความหวัง บรรยากาศที่แจ่มใสดีขึ้นถูกสลับแทรกด้วยร่องรอยความทุกข์เศร้า เก้าอี้ที่ว่างเปล่าเพราะผู้ที่เคยนั่งตรงนั้น ได้จากโลกไปแล้วด้วยโรคระบาดโควิด-19 กลายเป็นเครื่องย้ำเตือนถึงความจริงอันเจ็บปวด
กระนั้นก็ตาม หายนะหวนกลับมาอีกคำรบหนึ่ง เพราะคนอเมริกันนับล้านพากันละเลยคำอ้อนวอนของบุคลากรทางการแพทย์ที่ร้องขอให้ช่วยกันงดเว้นการเดินทางตลอดจนการรวมกลุ่มทางสังคม ดังนั้น ประเพณีประจำปีได้กลายเป็นตัวเร่งการแพร่ระบาดของโควิด-19 ระลอกใหม่ซึ่งสาหัสหนักหนา เพราะวิกฤตโรคระบาดที่พุ่งทะยานช่วงคริสต์มาส-ปีใหม่ ได้สมทบทับถมไปบนวิกฤติของช่วงขอบคุณพระเจ้านั่นเอง
โบกมือลาปีเก่า ต้อนรับปีใหม่ แต่ไตรมาสแรกจะสาหัสละม้ายเดิม
ปัจจัยบวกที่สำคัญประการหนึ่งในการเอาชนะโควิด-19 คือความหักเหทางการเมือง โดยโจ ไบเดน ประธานาธิบดีคนใหม่เข้าบริหารประเทศแทนโดนัลด์ ทรัมป์ หลังจากสี่ปีที่อเมริกาตกอยู่ในความโกลาหลและความขัดแย้งอันมหาศาล ประธานาธิบดีไบเดนนำบรรยากาศอันสงบมั่นคงดีขึ้น เข้ามาในการเมืองของชาติ กระนั้นก็ตาม ปัญหาความล่าช้าที่จะได้รับวัคซีนมาฉีดให้แก่ประชาชนทั้งประเทศ ยังไม่อาจยุติได้ ดังนั้นจึงไม่แน่ชัดว่าอเมริกาได้ชัยชนะในสงครามต่อต้านไวรัสแล้วหรือไม่
ในเดือนกุมภาพันธ์ 2021 สถิติหลายหมวดดีขึ้น อาทิ ยอดผู้ติดเชื้อใหม่เฉลี่ยต่อวันได้ลดต่ำลงมากมาย หลังจากพุ่งขึ้นทำสถิติสูงสุดในเดือนมกราคม นอกจากนั้นอัตราการเสียชีวิตรายวันก็ลดฮวบลงตลอดหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา กระนั้นก็ตามตัวเลขเหล่านั้นไม่สามารถรั้งยอดการเสียชีวิตสะสมให้อยู่ต่ำกว่าเพดาน 500,000 ราย
และแล้ว ณ วันจันทร์ที่ 22 กุมภาพันธ์ 2021 ยอดผู้เสียชีวิตจากโควิด-19 ในสหรัฐฯ ได้ทะยานขึ้นสูงเกินเพดาน 500,000 ราย หลังจากที่ได้ทำสถิติ 300,000 รายเมื่อเดือนธันวาคม และแตะระดับ 200,000 รายในเดือนกันยายน และ 100,000 รายเมื่อช่วงกลางปี 2020 การที่ผู้คนล้มตายมหาศาลในวิกฤตโควิด-19 นี้ ถูกนำไปเทียบกับยอดการเสียชีวิตในเหตุการณ์ใหญ่โตอื่นๆ ของประเทศ ว่ายอดรวมคนอเมริกันที่เสียชีวิตในสงครามโลกครั้งที่ 2, สงครามเกาหลี และสงครามเวียดนาม ยังต่ำกว่ายอดการเสียชีวิตด้วยโควิด-19
ยิ่งกว่านั้น ผู้เชี่ยวชาญให้ประมาณการไว้แล้วว่าตัวเลขสถิติจะวิ่งขึ้นไปอีกมาก ด้วยสาเหตุจากไวรัสโคโรนากลายพันธุ์ต่างๆ ซึ่งมีอันตรายสูงยิ่งเพราะสามารถแพร่ระบาดได้ไวยิ่งขึ้นแต่ป้องกันยากกว่าเดิม ในเวลาเดียวกัน ฝ่ายต่างๆ ล้วนตระหนักว่าชาวอเมริกันยังฉีดวัคซีนไม่มากพอ
คำถามถึงอนาคตมีอยู่หลายหลาก ซึ่งยากจะให้คำตอบได้ว่าชีวิตวิถีใหม่ นิวนอร์มัลนั้นจะมีลักษณะอย่างไร จะได้เดินเบียดเสียดในฝูงชนที่สวนสนุกหรือโรงหนังอีกไหม จะได้ร่วมอยู่กับฝูงชนอันเนืองแน่นในมหกรรมนับถอยหลังเข้าสู่ศักราชใหม่ ณ ไทม์สแควร์กันอีกหรือไม่ ในเมื่อผู้เชี่ยวชาญให้ประมาณมาว่าทุกคนต้องสวมหน้ากากอนามัยและร่วมกันเฝ้าระวังไปจนสิ้นศักราช 2021
ปีแห่งหายนะของอเมริกาได้สอนให้เราต้องไม่ลืมที่จะอดทนรอคอยคำตอบ รอคอยอยู่ในความตั้งมั่นจนกว่าจะถึงเวลาที่ทุกสิ่งจะแสดงตนออกมาให้ได้ทราบพร้อมกัน
โดย รัศมี มีเรื่องเล่า
(ที่มา : เอพี วิกิพีเดีย เอเอฟพี รอยเตอร์)