หน่วยข่าวกรองสหรัฐฯ เผยรายงานยืนยันว่า เจ้าชายโมฮัมเหม็ด บิน ซัลมาน มกุฎราชกุมารแห่งซาอุดีอาระเบีย ทรงเป็นผู้ออกคำสั่งลอบสังหาร จามาล คาช็อกกี (Jamal Khashoggi) นักข่าวหนังสือพิมพ์วอชิงโพสต์ ซึ่งตั้งตัวเป็นศัตรูกับริยาด ขณะที่สหรัฐฯ ประกาศคว่ำบาตรบุคคลที่เกี่ยวข้อง แต่ยังละเว้นไม่แตะต้ององค์มกุฎราชกุมาร เพื่อรักษาสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
คาช็อกกี ซึ่งอาศัยอยู่ในสหรัฐฯ เคยเขียนบทความวิพากษ์วิจารณ์นโยบายต่างๆ ของเจ้าชายโมฮัมเหม็ดอยู่บ่อยครั้ง กระทั่งมาถูกทีมนักฆ่าจากซาอุฯ สังหาร และ “หั่นศพ” อย่างโหดเหี้ยมที่สถานกงสุลซาอุฯ ในนครอิสตันบูล เมื่อเดือน ต.ค. ปี 2018
รัฐบาลซาอุฯ ยืนยันมาโดยตลอดว่า เรื่องนี้มกุฎราชกุมารไม่เกี่ยวข้องด้วย และได้ออกคำแถลงปฏิเสธรายงานล่าสุดของสหรัฐฯ โดยย้ำจุดยืนเดิมว่า การตายของ คาช็อกกี เป็น “อาชญากรรมชั่วร้าย” ที่กระทำโดย “พวกแตกแถว” ที่ทำงานเกินคำสั่ง
ประธานาธิบดี โจ ไบเดน แห่งสหรัฐฯ ออกมาพูดชัดเจนว่าการลอบสังหารศัตรูทางการเมืองเป็นสิ่งที่สหรัฐฯ รับไม่ได้ แต่ขณะเดียวกัน ก็ยังต้องการรักษาความสัมพันธ์อันดีกับเจ้าชายหนุ่มวัย 35 พรรษา ซึ่งวันหนึ่งจะก้าวขึ้นมาเป็นผู้ปกครองสูงสุดแห่งราชอาณาจักรที่เป็นผู้ส่งออกน้ำมันอันดับ 1 ของโลก และชาติพันธมิตรซึ่งเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงหลักในการช่วยสหรัฐฯ ต่อต้านอิทธิพลของ “อิหร่าน”
ไบเดน ให้สัมภาษณ์สื่อโทรทัศน์วานนี้ (26) ว่า ตนได้โทรศัพท์พูดคุยกับสมเด็จพระราชาธิบดี ซัลมาน ว่า ซาอุฯ จำเป็นจะต้องแก้ไขปัญหาด้านสิทธิมนุษยชนอย่างจริงจัง เพื่อที่จะทำงานร่วมกับสหรัฐฯ ต่อไปได้
ขณะเดียวกัน สหรัฐฯ ได้ประกาศแบนวีซ่าพลเมืองซาอุฯ 76 คน ที่คาดว่า มีส่วนเกี่ยวข้องกับการสังหารคาช็อกกี รวมถึงคว่ำบาตรบุคคลอื่นๆ เช่น อาเหม็ด ฮัสซัน โมฮัมเหม็ด อัล-อาซิรี อดีตรองผู้บัญชาการหน่วยข่าวกรองซาอุฯ ซึ่งว่ากันว่า เป็นผู้นำปฏิบัติการปลิดชีพ ซึ่งผู้ที่ถูกคว่ำบาตรจะโดนอายัดทรัพย์สินในสหรัฐฯ และไม่สามารถทำธุรกรรมร่วมกับชาวอเมริกันได้
เจ้าหน้าที่สหรัฐฯ ยังอยู่ระหว่างพิจารณายกเลิกข้อตกลงจำหน่ายอาวุธซึ่งอาจจะถูกซาอุฯ นำไปใช้ละเมิดสิทธิมนุษยชน และจำกัดการขายอาวุธ “เพื่อการป้องกันตนเอง” ให้แก่ริยาดในอนาคตด้วย
สำนักงานผู้อำนวยการข่าวกรองแห่งชาติสหรัฐฯ (U.S. Office of the Director of National Intelligence) ระบุในรายงานความยาว 4 หน้ากระดาษว่า “เราประเมินว่า มกุฎราชกุมารโมฮัมเหม็ด บิน ซัลมาน ทรงเป็นผู้อนุมัติปฏิบัติการในนครอิสตันบูล ประเทศตุรกี เพื่อที่จะจับกุมหรือฆ่า จามาล คาช็อกกี นักหนังสือพิมพ์ชาวซาอุฯ”
“ตั้งแต่ปี 2017 เป็นต้นมา เจ้าชายมกุฎราชกุมารทรงมีอำนาจเด็ดขาดในการควบคุมหน่วยงานความมั่นคงและข่าวกรองของซาอุดีอาระเบีย จึงเป็นไปได้ยากยิ่งที่กลุ่มเจ้าหน้าที่ซาอุฯ ผู้ลงมือสังหารจะทำลงไปโดยปราศจากการอนุมัติจากพระองค์”
การเผยแพร่รายงานข่าวกรองฉบับนี้สะท้อนให้เห็นว่า ไบเดน ได้ละทิ้งนโยบายของอดีตประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ และแสดงความตั้งใจจริงที่จะท้าทายซาอุฯ ทั้งในประเด็นสิทธิมนุษยชนเรื่อยไปจนถึงสงครามเยเมน
อย่างไรก็ดี เจ้าหน้าที่สหรัฐฯ ระบุชัดเจนตั้งแต่แรกว่า มาตรการคว่ำบาตรและแบนวีซ่าจะไม่ส่งผลถึงตัวมกุฎราชกุมาร
“สิ่งที่เราทำลงไปนี้ไม่ได้มุ่งตัดความสัมพันธ์กับซาอุฯ แต่เพื่อเสริมสร้างให้มันสอดคล้องกับผลประโยชน์และค่านิยมของเรามากขึ้น” แอนโทนี บลิงเคน รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชน
ไบเดน พยายามใช้แนวทางละมุนละม่อมเพื่อรักษาความสัมพันธ์ฉันมิตรกับซาอุฯ ขณะเดียวกัน ก็ต้องการฟื้นฟูข้อตกลงควบคุมนิวเคลียร์กับอิหร่าน และรับมือกับความท้าทายอื่นๆ เช่น การต่อสู้ลัทธิก่อการร้าย และส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มชาติอาหรับกับอิสราเอล
ที่มา: รอยเตอร์