ท้ายที่สุดแล้ววัคซีนไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ของแอสตราเซเนกาก็กำลังเดินทางถึงบรรดาประเทศต่างๆในสหภาพยุโรป ในขณะที่ทางกลุ่มพยายามเร่งรีบโครงการฉีดวัคซีนให้แก่พลเรือน หวังทิ้งช่วงเวลาแห่งวิกฤตไว้เบื้องหลัง
ฝรั่งเศสเริ่มใช้วัคซีนในวันเสาร์ (6 ก.พ.) ด้วยมีบรรดาเจ้าหน้าที่ด้านสาธารณสุขเป็นกลุ่มเป้าหมายลำดับต้นๆ หลังจากวัคซีนชุดแรกเดินทางมาถึงในช่วงเย็นวันศุกร์ (5 ก.พ.) ส่วนเยอรมนี ไอร์แลนด์ สเปน และออสเตรีย ก็เริ่มฉีดวัคซีนไปแล้วเช่นกัน ขณะที่ฝรั่งเศสจะได้รับการส่งมอบในช่วงต้นสัปดาห์หน้า
วัคซีนส่วนใหญ่เป็นการส่งมอบโดยรถบรรทุกผ่านศูนย์กลางต่างๆ ทั่วทวีป และการเดินทางมาถึงของวัคซีนคือพัฒนาการที่น่ายินดีเป็นอย่างยิ่งของอียู โดยช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมามีปัญหาโต้เถียงกับแอสตราเซเนกาอย่างเปิดเผยเกี่ยวกับเป้าหมายการส่งมอบวัคซีนซึ่งท้ายที่สุดแล้วก็ลุกลามเข้าสู่เกมกล่าวโทษกันไปมา คำขู่กีดกันทางการค้า และความผิดพลาดทางการเมืองใหญ่หลวงที่คุกคามข้อตกลงเบร็กซิตระหว่างสหราชอาณาจักรกับอียู
แม้สถานการณ์การแจกจ่ายวัคซีนเริ่มดีขึ้น แต่รัฐบาลชาติต่างๆ ยังคงกังวลว่าความล่าช้าในโครงการฉีดวัคซีน อาจทำให้ประชาชนต้องเสียชีวิตหลายพันคนในแต่ละวัน หลายประเทศยังต้องบังคับใช้มาตรการล็อกดาวน์อันเข้มข้นต่อไปเพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของไวรัส โดยเฉพาะอย่างยิ่งการปรากฏตัวของตัวกลายพันธุ์ของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่
แหล่งข่าวใกล้ชิดเปิดเผยว่า มีความเป็นไปได้ที่เยอรมนีจะขยายข้อจำกัดสกัดโควิด-19 ต่อไปอีกอย่างน้อย 2 สัปดาห์ ด้วยนายกรัฐมนตรีอังเกลา แมร์เคิล และมุขมนตรีของรัฐต่างๆ มีกำหนดประชุมกันเมื่อตัดสินใจในประเด็นดังกล่าวในสัปดาห์หน้า ส่วน กรีซ เมื่อวันศุกร์ (5 ก.พ.) ยกระดับความเข้มงวดข้อจำกัดต่างๆ ด้านความเคลื่อนไหวและการจับจ่ายซื้อของ
จากการติดตามของสำนักข่าวบลูมเบิร์ก Bloomberg Vaccine Tracker พบว่ากระบวนการฉีดวัคซีนของอียูยังคงล้าหลัง สหราชอาณาจักรและสหรัฐฯ ค่อนข้างมาก
อย่างไรก็ตาม แม้เริ่มต้นอย่างล่าช้า แต่คณะกรรมาธิการยุโรปยังคงยึดมั่นในแผนจะฉีดวัคซีนประชากรวัยผู้ใหญ่ให้ได้ 70% ในช่วงปลายฤดูร้อน ท่ามกลางความคาดหมายว่าอัตราการฉีดวัคซีนจะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในไม่กี่เดือนข้างหน้า ด้วยจะมีการส่งมอบวัคซีนอย่างน้อยๆ 300 ล้านโดสในไตรมาส 2
ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับปัญหาล่าช้า บรรดากลุ่มผู้นำของชาติสมาชิกอียู เรียกร้อง อัวร์ซูลา ฟอน แดร์ ไลเอิน ประธานคณะกรรมาธิการยุโรป ให้หาข้อสรุปในการเจรจากับบรรดาผู้พัฒนาวัคซีนเจ้าอื่นๆ โดยเร็ว อย่างเช่นโนโวแว็กซ์ และวาลเนวา
วัคซีนของแอสตราเซเนกา ถือเป็นวัคซีนโควิด-19 ตัวที่ 3 ที่ได้รับการอนุมัติจากคณะผู้ควบคุมกฎระเบียบของอียู หลังจากไฟเขียววัคซีนของไบโอเอ็นเทคกับไฟเซอร์ในเดือนธันวาคม และของโมเดอร์นา เมื่อเดือนที่แล้ว
หลายประเทศออกคำแนะนำให้ระมัดระวังในการใช้วัคซีนของแอสตราเซเนกา โดยแนะนำให้ใช้เฉพาะกับบุคคลที่มีอายุต่ำกว่า 65 ปี แต่ก็ยังมีรัฐบาลอีกหลายชาติที่ยังคงใช้มันกับกลุ่มผู้สูงวัย ในความพยายามเร่งรัดโครงการฉีดวัคซีน
(ที่มา : บลูมเบิร์ก)