ยอดผู้ติดเชื้อโรคระบาดใหญ่ “โควิด-19” ทั่วโลกทะลุ 100 ล้านคน ขณะที่อังกฤษกลายเป็นประเทศแรกในยุโรปซึ่งมีผู้เสียชีวิตจากไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่นี้เกิน 100,000 คน ด้านเกาหลีใต้เจอการระบาดแบบกลุ่มก้อนครั้งใหม่ในโบสถ์ และโรงเรียนคริสต์ ส่วนที่อเมริกา ไบเดนเผยว่าสั่งซื้อวัคซีนเพิ่มอีก 200 ล้านโดส เพียงพอฉีดให้ชาวอเมริกันเกือบทั้งหมดภายในต้นฤดูใบไม้ร่วง (เดือนกันยายนนี้)
ตามตัวเลขซึ่งรวบรวมโดยเว็บไซต์ติดตามโควิด-19 ของมหาวิทยาลัยจอห์นส์ ฮอปกินส์ ตลอดจนของสำนักข่าวเอเอฟพี และสำนักข่าวรอยเตอร์ สหรัฐฯ ยังคงเป็นประเทศที่เผชิญการระบาดรุนแรงที่สุดในโลก ด้วยจำนวนผู้ได้รับการยืนยันว่าติดเชื้อจนถึงช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาทะลุหลัก 25 ล้านคน และเสียชีวิตกว่า 420,000 คน ขณะที่ทั่วโลก ยอดผู้ติดเชื้อเลย 100 ล้านคนในวันอังคาร (26 ม.ค.) ส่วนจำนวนผู้เสียชีวิตจนถึงวันอังคารอยู่ที่ 2.1 ล้านคน
หลังจากรับตำแหน่งเมื่อกลางสัปดาห์ที่แล้ว ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ก็กำลังพยายามปรับเปลี่ยนวิธีการต่อสู้เพื่อเอาชนะวิกฤตไวรัสที่ระบาดอย่างรุนแรงระหว่างการบริหารประเทศของโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้คอยโน้มน้าวให้ประชาชนเชื่อว่าโรคนี้ไม่ได้อันตรายอย่างที่กลัวกัน รวมทั้งทางการก็ให้ข้อมูลที่ขัดแย้งกันจนสร้างความสับสนเกี่ยวกับการสวมหน้ากาก และมาตรการอื่นๆ ในการป้องกันไวรัส
ไบเดนกล่าวในวันอังคาร (26) ว่า การฉีดวัคซีนให้ชาวอเมริกันทั้งหมดเป็นภารกิจท้าทายอย่างมาก และเสริมว่า โครงการนี้ที่ได้รับการส่งต่อจากคณะบริหารของทรัมป์นั้น อยู่ในสภาพเลวร้ายกว่าที่ทีมงานของเขาคาดหมายเอาไว้เสียอีก
อย่างไรก็ตาม ผู้นำใหม่ของสหรัฐฯ ประกาศว่า อเมริกาได้สั่งซื้อวัคซีนเพิ่มอีก 200 ล้านโดส เพียงพอฉีดให้ประชาชน 300 ล้านคน หรือชาวอเมริกันเกือบทั้งหมดภายในต้นฤดูใบไม้ร่วง (ในสหรัฐฯ ฤดูใบไม้ร่วงถือว่าเริ่มในเดือนกันยายน)
ทางด้านอังกฤษ หลักกิโลในทางลบก็ปรากฏขึ้นมาในวันอังคาร (26) เช่นกัน ด้วยการกลายเป็นประเทศแรกในยุโรปที่มียอดผู้เสียชีวิตจากโควิด-19 ทะลุ 100,000 คน
หนังสือพิมพ์ลอนดอนไทมส์รายงานว่า ในวันพุธ (27) รัฐบาลอังกฤษจะประกาศให้ผู้เดินทางที่เป็นชาวท้องถิ่นต้องกักตัวในโรงแรมใกล้สนามบินนาน 10 วัน หลังเดินทางกลับจากประเทศที่มีความเสี่ยงสูง ซึ่งส่วนใหญ่คือประเทศในอเมริกาใต้และแอฟริกาใต้
ด้านไอร์แลนด์ที่อยู่ติดกันกับอังกฤษ เปิดเผยเมื่อวันอังคารว่า จะเริ่มบังคับใช้มาตรการให้ผู้เดินทางต้องกักตัวเป็นครั้งแรก นอกจากนั้นยังจะขยายมาตรการล็อกดาวน์รอบสามไปจนถึงวันที่ 5 มีนาคม
ในบรรดาประเทศยุโรปที่เล็งเพิ่มมาตรการควบคุมการเดินทางเข้าประเทศนั้น มีรายงานว่า เยอรมนีก็กำลังพิจารณาระงับเที่ยวบินเข้าประเทศเกือบทั้งหมดเพื่อป้องกันไวรัสกลายพันธุ์ที่ระบาดได้เร็วขึ้นกว่าเชื้อเดิม
ขณะที่ ไอซ์แลนด์ เริ่มการออกใบรับรองการฉีดวัคซีนเพื่ออำนวยความสะดวกในการเดินทาง
มาตรการต่างๆ เหล่านี้เกิดขึ้น ขณะที่มีประชาชนจำนวนมากขึ้นไม่พอใจกฎข้อจำกัดความเคลื่อนไหวเพื่อป้องกันไวรัส เช่น เนเธอร์แลนด์ที่ยังคงเกิดจลาจลทุกคืนนับจากการชุมนุมต่อต้านมาตรการเคอร์ฟิวเมื่อวันเสาร์ (23) และถือเป็นเหตุการณ์วุ่นวายร้ายแรงที่สุดในรอบ 4 ทศวรรษ มีผู้ถูกจับกุมแล้วกว่า 400 คน กระนั้น รัฐบาลยืนยันว่า จะไม่ลดระดับมาตรการป้องกันโควิด
ส่วนที่อิสราเอล ตำรวจปะทะกับผู้ประท้วงต่อต้านมาตรการล็อกดาวน์ และจับกุมผู้ก่อเหตุได้ 14 คน
สำหรับที่เกาหลีใต้ ความหวังในการยุติการระบาดรอบสามกำลังเลือนรางลง หลังพบการแพร่เชื้อแบบกลุ่มก้อนครั้งใหม่ในเครือข่ายโบสถ์และโรงเรียนคริสต์ที่เมืองใหญ่ 2 เมือง คือ กวางจูและ แทจอน
อินเตอร์เนชันแนล มิสชัน องค์กรคริสเตียนที่เป็นผู้รับผิดชอบสถานที่เหล่านั้น สั่งตรวจเชื้อทุกๆ คนที่เกี่ยวข้องกับโรงเรียนและโบสถ์ของตน 32 แห่งจาก 40 แห่งทั่วประเทศ พร้อมส่งรายชื่อนักเรียนและเจ้าหน้าที่ 841 คนในโรงเรียนและโบสถ์ 11 แห่งให้ทางการ และกล่าวขอโทษที่ไม่ได้บังคับใช้มาตรการป้องกันการระบาดแต่เนิ่นๆ
นายกรัฐมนตรีชุง เซ-คยุน เรียกร้องให้ผู้ที่เชื่อมโยงกับสถานที่ที่พบผู้ติดเชื้อเข้ารับการตรวจหาโควิดโดยเร็ว
ทั้งนี้ สำนักงานควบคุมโรคแห่งเกาหลี (เคดีซีเอ) รายงานว่า มีผู้ติดเชื้อใหม่ 559 คนในรอบ 24 ชั่วโมง นับจนถึงเที่ยงคืนวันอังคาร เพิ่มขึ้นจาก 354 คนในวันก่อนหน้า ทำให้ยอดผู้ติดเชื้อสะสมเพิ่มเป็น 76,429 คน และเสียชีวิต 1,378 คน
(ที่มา : เอเอฟพี, รอยเตอร์, เอพี)