ยักษ์ใหญ่แห่งอุตสาหกรรมเวชภัณฑ์สหรัฐฯ “เมอร์ค แอนด์ โค” ไม่เดินหน้าพัฒนาวัคซีนทดลองโควิด 2 ตัวของทางบริษัท หลังข้อมูลการทดลองในเบื้องต้นพบว่ามันล้มเหลวในการก่อการตอบสนองทางภูมิคุ้มกัน เมื่อเปรียบเทียบกับการติดเชื้อโดยธรรมชาติ หรือกับวัคซีนที่มีอยู่ในปัจจุบัน
บริษัทยายักษ์ใหญ่ของสหรัฐฯ แห่งนี้ซึ่งเคยมีประวัติแห่งความสำเร็จในการพัฒนาวัคซีนต่างๆ นานา ใช้ยุทธศาสตร์ต่างจากบรรดาคู่แข่งอย่าง ไฟเซอร์ อิงก์, โมเดอร์นา อิงก์ และ จอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน โดยใช้วิธีการดั้งเดิมมากกว่า มุ่งเน้นพัฒนาวัคซีนบนพื้นฐานสร้างความอ่อนแอแก่ไวรัส โดยตัวหนึ่งมีชื่อว่า V590 หยิบยืมเทคโนโลยีวัคซีนอีโบลาของเมอร์ค ส่วนอีกตัว V591 มีพื้นฐานจากวัคซีนโรคหัดที่ใช้ในยุโรป
วัคซีนทั้ง 2 ตัวถือว่าล่าช้ากว่าบริษัทอื่นๆ ในศึกแย่งชิงพัฒนาวัคซีน โดยเมอร์คเพิ่งเสร็จสิ้นการสรรหาอาสาสมัครผู้เข้าร่วมชุดแรกๆ สำหรับศึกษาความปลอดภัยในขั้นต้น ในช่วงใกล้สิ้นปี 2020 ผิดกับ ไฟเซอร์ และ โมเดอร์นา ที่ตอนนั้น อยู่ในนั้นกำลังเตรียมการรายงานข้อมูลขั้นสุดท้ายเกี่ยวกับประสิทธิภาพวัคซีนของพวกเขาแล้ว และ เมอร์ค เพิ่งได้ผลชั่วคราวจากการทดลองในเดือนนี้เอง
“ผลการทดลองน่าผิดวังและน่าประหลาดใจอย่างมาก” นิค คาร์ทโซนิส รองประธานอาวุโสฝ่ายวิจัยทางคลินิกโรคติดเชื้อและวัคซีน แห่งศูนย์ปฏิบัติการวิจัยของเมอร์คกล่าว หลังพบว่า วัคซีนทั้งสองตัวก่อแอนติบอดีที่มีฤทธิ์ลบล้าง (Neutralizing antibody) สำหรับระงับเชื้อ น้อยกว่าวัคซีนโควิด-19 อื่นๆ และก่อการตอบสนองทางภูมิคุ้มกันต่ำกว่า หากเทียบกับคนที่ติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่เองโดยธรรมชาติ
หลังจากประเมินแล้ว ผู้นำระดับอาวุโสของเมอร์คตัดสินใจไม่เดินหน้าโครงการ และเบี่ยงทรัพยากรทั้งหลายไปที่ความพยายามพัฒนาหนทางรักษาโควิด-19 แทน “เราไม่ได้สิ่งที่จำเป็นที่จะสามารถเดินหน้าต่อไปได้” คาร์ทโซนิส ให้มสัมภาษณ์เมื่อวันอาทิตย์ (24 ม.ค.)
แม้วัคซีนของเมอร์คไม่ได้รับคาดหมายว่าจะเป็นส่วนหนึ่งในโครงการฉีดวัคซีนในสหรัฐฯ แต่ข่าวคราวล่าสุดนี้มีขึ้นท่ามกลางความกังวลระดับสูงเกี่ยวกับอุปทานวัคซีนและอัตราการฉีดที่เป็นไปอย่างล่าช้า นอกจากนี้แล้ว การปรากฏตัวของตัวกลายพันธุ์ไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ยังก่อคำถามว่าวัคซีนต่างๆ ที่ได้รับอนุมัติแล้ว อาจไม่มีประสิทธิภาพในการจัดการกับตัวกลายพันธุ์
ความล้มเหลวของเมอร์คจะส่งผลให้พวกเขาหลุดออกจากตลาดวัคซีนโควิด-19 ของอเมริกา ซึ่งท้ายที่สุดแล้วน่าจะเป็นการแข่งขันกันระหว่าง 2 คู่ปรับเก่าในประวัติศาสตร์สหรัฐฯ โดย ไฟเซอร์ เป็นบริษัทยาแห่งแรกที่ได้รับอนุมัติใช้วัคซีนโควิด-19 กรณีฉุกเฉินในสหรัฐฯ จากนั้น โมเดอร์นา ก็ได้รับไฟเขียวตามมาติดๆ
ส่วน จอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน คาดหมายว่าจะเผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับประสิทธิภาพของวัคซีนของทางบริษัทในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า แล้วจากนั้นถึงจะยื่นขออนุมัติจากคณะผู้ควบคุมกฎระเบียบของสหรัฐฯ
(ที่มา : บลูมเบิร์ก)