สำนักข่าวฟ็อกซ์นิวส์รายงานเมื่อวันเสาร์ (23 ม.ค.) ทราบมาว่ากองกำลังพิทักษ์มาตุภูมิสหรัฐฯ มีแผนคงกำลังทหารหลายพันนายในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ไปจนถึงช่วงกลางเดือนมีนาคม แม้พิธีสาบานตนของประธานาธิบดีโจ ไบเดน ผ่านพ้นไปโดยปราศจากสถานการณ์ความรุนแรงใดๆ ในเมืองหลวง
“ในขณะที่เรายังคงเดินหน้าทำงานให้เป็นไปตามข้อกำหนดหลังพิธีสาบานตน กองกำลังพิทักษ์มาตุภูมิได้รับคำร้องขอให้สนับสนุนหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายของรัฐบาลกลางต่อไปอีกสักระยะ ด้วยกำลังพล 7,000 นาย และจะลดเหลือ 5,000 นาย ถึงช่วงกลางเดือนมีนาคม” กองกำลังพิทักษ์มาตุภูมิระบุในถ้อยแถลง
“เราจะคอยมอบความช่วยเหลือด้านต่างๆ อย่างเช่นด้านความมั่นคง, การสื่สาร, อพยพทางการแพทย์, โลจิสติกส์ และสนับสนุนด้านความปลอดภับแก่หน่วยงานระดับรัฐ ระดับเขตและระดับรัฐบาลกลาง”
ก่อนหน้านี้สื่อมวลชนรายงานว่า เจ้าหน้าที่กองกำลังพิทักษ์มาตุภูมิ (National Guard) เผยกับเว็บไซต์ Military.com ว่า เจ้าหน้าที่กองกำลังพิทักษ์มาตุภูมิราว 7,000 นายยังต้องเฝ้ารักษาความสงบเรียบร้อยในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี.ไปจนถึงเดือนมีนาคม เนื่องจากยังมีคำข่มขู่ก่อความวุ่นวายจากกลุ่มขวาจัด ส่วนเจ้าหน้าที่อีกราว 15,400 จะถูกส่งกลับบ้าน
จากนั้นเจ้าหน้าที่รายหนึ่งเปิดเผยกับฟ็อกซ์นิวส์ในวันศุกร์ (22 ม.ค.) ว่ากองกำลังพิทักษ์มาตุภูมิ อยู่ระหว่างพบปะพูดคุยกับหน่วยงานต่างๆ นานาของรัฐบาลกลาง เพื่อสรุปความจำเป็นต่างๆ ที่ทหารจำเป็นต้องคงกำลังในเมืองหลวงต่อไป เลยจากเดือนมกราคม
กำลังพลของกองกำลังพิทักษ์การปฏิวัติราวๆ 25,000 นาย ถูกส่งเข้าประจำการในกรุบงวอชิงตัน ดี.ซี. ก่อนหน้าพิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่งของประธานาธิบดีโจ ไบเดน หลังเกิดเหตุจู่โจมอาคารรัฐสภาสหรัฐฯ เมื่อวันที่ 6 มกราคม จนมีผู้เสียชีวิตหลายราย โดยเวลานั้้นบรรดาเจ้าหน้าที่มีจำนวนน้อยกว่าเหล่าผู้สนับสนุนของอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ หลายเท่าตัว
พิธีผ่านพ้นไปโดยปราศจากเหตุการณ์รุนแรงใดๆ และมีการจับกุมเพียงเล็กๆ น้อยๆ แต่ระหว่างนั้นกำลังพลของกำลังพิทักษ์มาตุภูมิหลายสิบนานถูกปลดจากหน้าที่ หลังเอฟบีไอตรวจสอบพบว่ามีความเชื่อมโยงสัมพันธ์กับกลุ่มการเมืองปีกขวาจัด
ในถ้อยแถลเมื่อวันพฤหัสบดี (21 ม.ค.) กองกำลังพิทักษ์มาตุภูมิบอกว่าทหารราวๆ 7,000 นายจะยังคงประจำการอยู่ในวอชิงตัน ไปจนถึงสิ้นเดือนนี้ แต่มีความกังวลในหมู่เจ้าหน้าที่เมืองและเจ้าหน้าที่ระดับรัฐบาลกลางบางส่วน ว่าพวกผู้ประท้วงอาจกลับสู่วอชิงตันในช่วงต้นเดือนมีนาคม เนื่องจากก่อนหน้านี้วันสาบานตนของประธานาธิบดีนั้น เคยถูกกำหนดให้เป็นวันที่ 4 มีนาคม แต่ระยะเวลาระหว่างวันเลือกตั้งและวันสาบานตน ถูกปรับเปลี่ยนให้สั้นลง 2 เดือน ในปี 1933
(ที่มา : ฟ็อกซ์นิวส์/เอเจนซี)