xs
xsm
sm
md
lg

‘สี จิ้นผิง’ ให้คำมั่นเอเปกเดินหน้าเปิดตลาด เตือนลัทธิกีดกันการค้าเป็นภัยต่อ ศก.โลก ขณะ ‘นายกฯ ออสซี่’ กร้าวไม่ยอมก้มหัวให้ปักกิ่ง

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


ภาพที่เผยแพร่โดยกรมประชาสัมพันธ์ของมาเลเซีย แสดงให้เห็นจอภาพขณะประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ของจีน กล่าวปราศรัยในการประชุมแบบเสมือนจริงของงาน “เอเปก ซีอีโอ ไดอะลอก 2020”  ก่อนหน้าการประชุมสุดยอดกลุ่มเอเปก ซึ่งจัดขึ้นที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย
“สี จิ้นผิง” ให้สัญญาในวันพฤหัสบดี (19 พ.ย.) เดินหน้าเปิดตลาดรับธุรกิจต่างชาติ ปฏิเสธความเป็นไปได้ของการที่เศรษฐกิจจีนจะแยกขาดออกมาต่างหาก หรือรวมกลุ่มแค่วงเล็กๆ พร้อมกันนี้ ยังแขวะทรัมป์ว่า ลัทธิกีดกันการค้าเป็นภัยต่อเศรษฐกิจโลก อย่างไรก็ดี วันเดียวกันนั้น นายกรัฐมนตรีออสเตรเลีย ออกมาประกาศกร้าว ไม่ยอมก้มหัวให้ปักกิ่ง หลังเจ้าหน้าที่จีนแจกเอกสารให้สื่อแดนจิงโจ้ร้องเรียนว่า แคนเบอร์ราแทรกแซงกิจการภายใน อีกทั้งสมคบกับอเมริกาต่อต้านจีน

ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ของจีน ที่เพิ่งร่วมลงนามความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (อาร์เซ็ป) กับอีก 14 ชาติ เพื่อสร้างเขตการค้าเสรีใหญ่ที่สุดของโลกเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ปราศรัยแบบเสมือนจริงในวันพฤหัสบดี ต่อที่ประชุม “เอเปก ซีอีโอ ไดอะล็อก” ซึ่งเป็นเวทีชุมนุมของผู้บริหารธุรกิจภาคเอกชน ก่อนหน้าการประชุมซัมมิตกลุ่มความร่วมมือทางเศรษฐกิจเอเชีย-แปซิฟิก (เอเปก) ปลายสัปดาห์นี้ โดยยืนยันว่า เอเชีย-แปซิฟิก มีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนการเติบโตของเศรษฐกิจโลกที่กำลังเผชิญความท้าทายมากมาย ซึ่งรวมถึงวิกฤตโรคระบาด

ประมุขแดนมังกรประกาศว่าจีนเปิดกว้างทางการค้า และปฏิเสธความเป็นไปได้ที่เศรษฐกิจจีนจะแยกขาดออกไปจากเศรษฐกิจโลก หรือรวมกลุ่มเพียงแค่วงเล็กๆ ซึ่งเห็นชัดว่าพาดพิงถึงนโยบายการค้าแบบปฏิปักษ์ของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่โจมตีจีนด้วยภาษีศุลกากรและมาตรการจำกัดด้านเทคโนโลยี

สียังเตือนว่า ลัทธิเอกภาคีนิยม การกีดกันการค้า การข่มเหงรังแก และการต่อต้านเศรษฐกิจโลกาภิวัตน์ รังแต่ทำให้เศรษฐกิจโลกเผชิญความเสี่ยงและความไม่แน่นอนมากขึ้น

อย่างไรก็ดี สีไม่ได้กล่าวถึงโจ ไบเดน ที่ได้รับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีคนต่อไปของอเมริกาและจะเข้ารับตำแหน่งต้นปีหน้า ซึ่งถูกมองว่า จะใช้นโยบายต่อจีนที่แทบไม่แตกต่างจากนโยบายของคณะบริหารปัจจุบัน เพียงแต่รูปแบบอาจจะเน้นการหาความร่วมมือจากพวกชาติพันธมิตรของตนมากขึ้น

กระนั้น ผู้นำเอเปกบางคน เช่น นายกรัฐมนตรีลี เซียน ลุงของสิงคโปร์ ซึ่งกล่าวปราศรัยในที่ประชุมวันพฤหัสฯด้วย ยังคงมองแง่ดีว่า ว่าที่ผู้นำคนใหม่ของอเมริกาจะสนับสนุนระบบพหุภาคี เช่น เอเปก และองค์การการค้าโลก (ดับเบิลยูทีโอ) มากกว่าทรัมป์ที่ชูนโยบยอเมริกาต้องมาก่อน

คำแถลงสวยหรูของสีคราวนี้ มีขึ้นก่อนโดยที่ยังไม่ชัดเจนว่าทรัมป์จะร่วมวงหารือแบบทางไกลกับผู้นำอีก 20 ชาติของเอเปกในวันศุกร์ (20) นี้หรือไม่ กระนั้นหลายชาติโดยเฉพาะฝ่ายตะวันตก ยังคงแสดงความเคลือบแคลงต่อการประกาศของสี และโจมตีว่าปักกิ่งออกมาตรการจำกัดการค้าอย่างไม่เป็นธรรม หรือใช้อิทธิพลทางเศรษฐกิจเป็นเครื่องมือต่อรองในข้อพิพาทด้านภูมิรัฐศาสตร์

โดยในวันพฤหัสฯ นายกรัฐมนตรีสกอตต์ มอร์ริสัน ประกาศว่า ออสเตรเลียจะไม่ก้มหัวให้แก่การกดดันจากจีน หลังจากมีรายงานว่าเจ้าหน้าที่จีนได้ส่งเอกสารให้สื่อดัง 3 แห่งของออสเตรเลีย ซึ่งมีเนื้อหาเกี่ยวกับการร้องเรียน 14 ข้อ ที่ตอกย้ำความร้าวฉานระหว่างสองประเทศ

ในบรรดาข้อร้องเรียนเหล่านั้นมีอาทิ กฎหมายห้ามการแทรกแซงต่างชาติของออสเตรเลีย การห้ามหัวเว่ยมีส่วนร่วมในเครือข่าย 5 จีในออสเตรเลีย และการขัดขวางโครงการลงทุนของจีนด้วยเหตุผลด้านความมั่นคงแห่งชาติ

มอร์ริสันกล่าวว่า “เอกสารอย่างไม่เป็นทางการ” ดังกล่าวมาจากสถานเอกอัครราชทูตจีน และจะไม่สามารถยับยั้งออสเตรเลียในการออกกฎหมายและกฎระเบียบโดยอิงกับผลประโยชน์ของประเทศชาติ

เอกสารดังกล่าวยังระบุว่า แคนเบอร์รามีส่วนเกี่ยวข้องในการแทรกแซงอย่างไม่จำกัดและไม่หยุดหย่อนต่อกิจการภายในของจีน พร้อมยกตัวอย่างการที่ออสเตรเลียเรียกร้องให้ตั้งคณะกรรมการอิสระสอบสวนหาต้นตอไวรัสโคโรนา

ในเอกสารยังกล่าวหาออสเตรเลียสมคบกับอเมริกาต่อต้านจีน และเผยแพร่ข้อมูลผิดๆ เกี่ยวกับที่มาของไวรัส

ทั้งนี้ ความสัมพันธ์ระหว่างแคนเบอร์ราและปักกิ่งตกต่ำสุดขีดในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา กระทั่งรัฐมนตรีออสเตรเลียไม่สามารถโน้มน้าวให้รัฐมนตรีจีนยอมรับโทรศัพท์

ความบาดหมางนี้ยังทำให้สินค้าเกษตรกรรมของออสเตรเลีย เป็นต้นว่า เนื้อวัว ข้าวบาร์เลย์ และไม้ ถูกจีนแบน

วิกฤตการทูตล่าสุดนี้เกิดขึ้นหลังจากเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา มอร์ริสันเพิ่งบรรลุข้อตกลงโดยหลักการเกี่ยวกับการยกระดับความสัมพันธ์ทางการทหารกับนายกรัฐมนตรีโยชิฮิเดะ ซูงะ ของญี่ปุ่น ซึ่งถูกมองว่า มีเป้าหมายในการคานอิทธิพลจีนภายในภูมิภาค

(ที่มา : เอเอฟพี, รอยเตอร์, เอพี)

นายกรัฐมนตรีสกอตต์ มอร์ริสัน ของออสเตรเลีย
กำลังโหลดความคิดเห็น