xs
xsm
sm
md
lg

‘ทรัมป์’ ผู้ฝืนแรงโน้มถ่วงโลก ร่วงกลับสู่พสุธาแล้ว แต่ฤทธิ์เดชจะอื้ออึงอีกนาน

เผยแพร่:   โดย: สำนักข่าวเอพี (แอสโซซิเอเต็ด เพรส)



Trump defied gravity; now falls back to earth, future TBD
By JILL COLVIN and ZEKE MILLER Associated Press
08/11/2020

โดนัลด์ ทรัมป์กำลังถอยหลังสู่การพ้นออกจากความเป็นประมุขของสหรัฐอเมริกา เพราะพ่ายศึกเลือกตั้งประธานาธิบดีปี 2020 หลังจากที่ไม่สามารถใช้สไตล์กร้าวเกรียนไปเอาชนะสภาพแท้จริงที่ว่า ความป็อบปูลาร์ของตนได้เสื่อมทรามลง และความล้มเหลวในการรับมือกับปัญหาโรคระบาดที่คร่าชีวิตผู้คนไปแล้วมากกว่าสองแสนกว่าชีวิต เป็นเรื่องร้ายแรงเกินกว่าที่คนอเมริกันจะยอมรับได้ กระนั้นก็ตาม การที่ทรัมป์ได้รับคะแนนเสียงมากมายเกินคาด สิ่งนี้ชี้บ่งว่าอิทธิพลของทรัมป์ภายในพรรครีพับลิกันจะไม่ฝ่อไปง่ายๆ และพรรคคงจะเดินหน้ากับแนวทางประชานิยมรีพับลิกันและแนวทางกร้าวเกรียนแบบทรัมป์ๆ ซึ่งสามารถดึงคะแนนเสียงจากคนชนบทและชนชั้นผู้ใช้แรงงานได้เป็นอย่างดี

โดนัลด์ ทรัมป์ ผู้ขัดขืนต่อแรงโน้มถ่วงของโลกการเมือง ได้ร่วงกลับสู่พื้นพสุธาแล้ว หลังจากที่เคยประสบความสำเร็จในการผงาดขึ้นจากความเป็นดาราเรียลลิตี้โชว์และนักธุรกิจชั้นนำ ทะยานสู่เก้าอี้ประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกา

การรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งที่มากด้วยสไตล์กร้าวเกรียนของทรัมป์ ในที่สุดแล้วก็ไม่สามารถเอาชนะสภาพแท้จริงที่ว่า ความป็อบปูลาร์ของทรัมป์ได้เสื่อมทรามลง และปัญหาโรคระบาดร้ายแรงในสหรัฐฯ ได้คร่าชีวิตผู้คนในประเทศไปแล้วมากกว่า 236,000 ราย ขณะที่ผู้คนหลายล้านชีวิตต้องตกงาน

กระนั้นก็ตาม ทั้งที่เอกลักษณ์ทางการเมืองของทรัมป์จะสุดแสนเผ็ดแสบ ไม่ว่าจะการปล่อยทวิตเตอร์จิกกัดเย้ยหยัน การไล่ล่าลงทัณฑ์ศัตรู การเอาแต่ได้ไม่สนใจชาวโลกโดยได้สร้างบาดแผลตราไว้กว้างไกลไปทุกหย่อมหญ้า แต่ทรัมป์ก็ได้รับจำนวนคะแนนเสียงที่ดีเกินคาดในการสับประยุทธ์กับ โจ ไบเดนแห่งพรรคเดโมแครต ปรากฏการณ์นี้บ่งบอกว่า แรงสะเทือนแห่งความเป็นทรัมป์น่าจะวนเวียนอยู่ในแวดวงการเมือง การบริหารประเทศ และการกำหนดนโยบาย ได้เนิ่นนานกันหลายๆ รุ่นทีเดียว

ดังนั้น จึงต้องรอดูกันว่าทรัมป์ตั้งใจจะเดินเกมอย่างไรบ้างหลังการสิ้นสุดวาระประธานาธิบดี ณ 20 มกราคม 2021
--จะถอยไปพักฟื้นตามสนามกอล์ฟ
--หรือจะสร้างเครือข่ายโทรทัศน์เป็นของตนเอง
--หรือจะเตรียมการให้ได้เป็นตัวแทนพรรคเข้าชิงตำแหน่งประมุขประเทศในปี 2024
ยิ่งกว่านั้น ด้วยเบอร์กระดูกระดับนี้ ทรัมป์จะทุ่มเทเพื่อเอาชนะชะตากรรมตนเองด้วยความดุเดือดมากมายราวใด

‘ทรัมป์’ไม่ชอบการพ่ายแพ้ และจะเล่นการเมืองยาวๆ แน่นอน

“ผมคาดเอาไว้มากๆ ว่าเขาจะอยู่ในแวดวงการเมืองต่อไปยาวๆ ที่แน่ๆ ผมจะกรอกชื่อเขาไว้ในชอร์ตลิสต์ของผู้ที่คงจะมาลงสมัครรับเลือกตั้งประธานาธิบดีปี 2024” นี่เป็นความเห็นของอดีตประธานคณะเจ้าหน้าที่ทำเนียบขาว มิค มัลวานีย์ ซึ่งให้ไว้ในตอนหนึ่งของการสัมภาษณ์ออนไลน์โดยสถาบันกิจการระหว่างประเทศและยุโรป (Institute of International & European Affairs) พร้อมกับระบุว่า “ทรัมป์ไม่ชอบการพ่ายแพ้”

ตลอดหลายเดือนในการหาเสียงเลือกตั้ง ทรัมป์ย้ำซ้ำๆ ในหลายกรรมหลายวาระผ่านช่องทางอย่างทวิตเตอร์ โทรทัศน์ฟอกซ์นิวส์ และการยืนยันต่อบรรดาผู้สนับสนุน ว่าไม่มีทางเลยที่ตนจะแพ้โหวต ยิ่งกว่านั้น ทรัมป์ยังประกาศชัยชนะเก๊ๆ ออกมาเป็นว่าเล่น

ในวันเสาร์ (7 พ.ย.) ที่ผ่านมา เมื่อสื่อใหญ่ๆ ของสหรัฐฯพากันฟันธงขานชื่อให้ ไบเดน เป็นผู้ชนะในการชิงตำแหน่งประธานาธิบดีครั้งนี้ ทรัมป์ปฏิเสธที่จะยอมรับ หนำซ้ำยังประกาศจะดำเนินการทางกฎหมายเพื่อพลิกผลการนับคะแนน

เพราะครองใจคนได้เกือบครึ่งประเทศ ทรัมป์จะเป็นหัวหน้าพรรคตัวจริงไปอีก 4 ปี

อิทธิพลของทรัมป์ในพรรครีพับลิกันนับว่าสูงลิ่ว โดยเป็นที่คาดกันทั่วไปว่าทรัมป์จะเป็นหัวหน้าพรรคตัวจริงตลอดสี่ปีข้างหน้า หรือจนกว่าพรรคจะมีตัวเลือกใหม่ที่สดกว่า ร้อนแรงกว่าทรัมป์ ปรากฏออกมาให้ส่งชิงตำแหน่งประธานาธิบดีคราวต่อไป ทั้งนี้ กว่าที่เงื่อนไขดังกล่าวจะเกิดขึ้นได้ ก็น่าจะต้องต้องล่วงเข้าปี 2024 ในเวลาที่ทราบผลการคัดเลือกตัวแทนพรรค จากการแข่งขันตามกระบวนการไพรมารีกันแล้ว

“แม้จะปราชัยในการเลือกตั้ง โดนัลด์ ทรัมป์ทำผลงานได้ดีกว่าที่คาดกัน อีกทั้งยังช่วยให้ผู้สมัครเลือกตั้ง สส. และ สว. ของรีพับลิกันทำผลงานได้ดีเช่นกัน” กล่าวโดยที่ปรึกษาพรรครีพับลิกัน ไมเคิล สตีล “เขาจะเป็นพลังทรงอานุภาพอยู่ในพรรคไปอีกนาน”

การพ่ายแพ้ที่ไม่เสียท่านักหนาน่าจะโหมให้ชาวรีพับลิกันตระหนักว่าพรรคควรจะเดินหน้าต่อในแนวลัทธิทรัมป์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อคำนึงในประเด็นว่ารีพับลิกันดูจะสามารถคุมเสียงข้างมากในวุฒิสภาเอาไว้ได้ และได้ที่นั่งเพิ่มในสภาผู้แทนราษฎร

‘ทรัมป์’จะโหมไฟร้าวฉานในสังคมต่อไหม &จะเอาตัวรอดได้หรือกับศึกคดีความรุมเร้า

ด้านแอรี่ เฟลชเชอร์ อดีตโฆษกทำเนียบขาวในยุคประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู บุช ชี้ว่าพรรคคงจะ “ยับเยินต่อไปภายในความแตกร้าวระหว่างคนในกับคนนอก และระหว่างฝ่ายชนชั้นนำกับฝ่ายผู้สนับสนุนทรัมป์ซึ่งตำหนิติเตียนฝ่ายชนชั้นนำ ในการนี้ บทบาทของทรัมป์ ซึ่งในไม่ช้าจะกลายเป็นอดีตประธานาธิบดี เป็นเรื่องที่ต้องตามดูกัน ถ้าเขาตัดสินใจจะแสดงบทบาทต่อ เขาก็จะยังมีอำนาจและนำพรรคได้จริง แม้จะพ่ายแพ้ในการเลือกตั้งหนนี้”

ในเวลาเดียวกัน ขณะที่ยังไม่มีความแน่ชัดว่าทรัมป์จะยอมรับผลการเลือกตั้ง แต่ผู้ที่รู้จักทรัมป์ดี ต่างบอกว่า แทบจะไม่มีทางเลยที่ทรัมป์จะจากไปอย่างเงียบๆ ในแสงมืดมัวของราตรีกาล

“เมื่อโดนัลด์ ทรัมป์ แพ้ จะไม่มีการส่งมอบอำนาจอย่างสันติ” กล่าวโดยทนายเก่าแก่ของทรัมป์ ไมเคิล โคเฮน ซึ่งพลิกจากผู้ที่คอยตามแก้ปัญหา สู่ผู้ที่ออกมาวิพากษ์วิจารณ์ทรัมป์ ทั้งนี้ โคเฮนทำนายว่าทรัมป์จะทำทุกอย่างเท่าที่มีอำนาจจะทำได้ ในอันที่จะกล่าวหาว่าเดโมแครตขโมยชัยชนะในการเลือกตั้ง

โคเฮนบอกว่าทรัมป์รู้ตัวดีว่า หลังแพ้ศึกเลือกตั้งประธานาธิบดี เขาคงต้องเหนื่อยหนักกับคดีฟ้องร้องจำนวนมหาศาล ทั้งในระดับประเทศและระดับรัฐ ที่ผ่านมา ทรัมป์โดนฟ้องร้องดำเนินคดีอยู่มากมายแล้ว ทั้งในข้อหาข่มขืน และข้อหาหมิ่นประมาท ยิ่งกว่านั้น ฐานะการเงินของอาณาจักรธุรกิจทรัมป์ “ทรัมป์ ออแกไนเซชั่น” ก็อยู่ระหว่างถูกสอบสวนโดยอัยการแห่งนิวยอร์ก

บาร์บารา เรส ผู้ที่ทำงานกับทรัมป์มายาวนานและเมื่อเร็วๆ นี้ได้เขียนหนังสือเกี่ยวกับประสบการณ์ในการทำงานกับทรัมป์ เธอคาดเก็งว่าทรัมป์อาจจะเลือกเดินทางออกไปจากสหรัฐฯ ก่อนพิธีสาบานตัวรับตำแหน่งของไบเดน และบางทีอาจจะพยายามสร้างอาณาจักรสื่อของตนเองขึ้นมา

แต่ไม่ว่าเขาจะทำอะไรต่อไป อาจารย์ดักลาส บริงก์ลีย์ แห่งภาควิชาประวัติศาสตร์ มหาวิทยาลัยไรซ์ บอกว่า สมัยของทรัมป์จะถูกจดจำว่าเป็น “ยุควิปริตในประวัติศาสตร์การเมืองของสหรัฐฯ”

“การที่ประธานาธิบดีจะอยู่ได้เพียงเทอมเดียว ไม่ค่อยจะเกิดขึ้น ผู้ที่ดำรงตำแหน่งอยู่นั้น เป็นฝ่ายที่ได้เปรียบมหาศาล และทรัมป์ได้ทำลายโอกาสของตนเอง” บริงก์ลีย์กล่าว และชี้ว่าทรัมป์คงจะถูกมองว่าเป็น “ผู้ก่อความไม่สงบ” แม้ว่าคนอเมริกันกว่า 25% จะมองว่าโดนัลด์ ทรัมป์ เป็นแรมโบ้ผสมจอห์น เวย์นของพวกเขา

นโยบายประชานิยมรีพับลิกันจะอยู่ยาว แนวเกรียนๆ แบบทรัมป์ๆ โดนใจคนสุดๆ

สำหรับอนาคตของชาวรีพับลิกัน ไมเคิล สตีลชี้ว่าพรรคคงจะสรรหาผู้นำที่มีส่วนผสมของการเดินนโยบายประชานิยม ป็อบปูลิสต์จัดๆ บวกกับนโยบายที่ดึงดูดใจของผู้มีสิทธิออกเสียงเลือกตั้งได้กว้างขวางมากขึ้น

ในยุคของทรัมป์ พรรครีพับลิกันรับเอาแนวทางประชานิยมมาใช้อย่างเต็มที่ ถึงแม้กระแสประชานิยมดังกล่าวโหมกระพือขึ้นโดยกลุ่มกบฎรีพับลิกัน “ที ปาร์ตี้” (Tea Party) เมื่อหลายปีมาแล้ว แนวทางประชานิยมรีพับลิกันนี้เป็นการพลิกตัวออกจากการค้าเสรีสู่สงครามการค้า และการเดินนโยบายต่างประเทศแบบโดดเดี่ยวออกจากสังคมโลก

การผงาดขึ้นมาของทรัมป์ได้เปิดเส้นทางใหม่สู่เก้าอี้ประธานาธิบดี โดยขับเคลื่อนด้วยพลังแห่งบุคลิกภาพบุคคลมากกว่าพลังแห่งนโยบาย ซึ่งเป็นอะไรที่ทรงอิทธิพลและได้รับการตอบรับในระดับสูง แม้จะต้องพ่ายแพ้การเลือกตั้งก็ตาม ในการนี้ ประโยคปลุกเร้าแบบมุ่งรักษาผลประโยชน์ของผู้ถือกำเนิดบนแผ่นดินอเมริกาและรังเกียจผู้อพยพจากภายนอก อีกทั้งลีลาการโหมกระพือ“สงครามวัฒนธรรม” ได้พิสูจน์ถึงพลังอำนาจของการเมืองแห่งการแบ่งแยก หรือ Politics of Division พร้อมกับเร่งเครื่องให้เกิดการจับตัวเป็นพันธมิตรทางการเมืองกันใหม่อย่างลงลึกและกว้างขวาง

แต่ขณะที่ทรัมป์เอื้อมลึกลงไปถึงผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งในชนบทและในชนชั้นผู้ใช้แรงงานผ่านการสาดน้ำมันเข้ากองเพลิงแห่งเชื้อชาติและเศรษฐกิจนั้น เขาก็สูญเสียผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งที่มีการศึกษาระดับมหาวิทยาลัยในเมืองและชานเมือง

กระนั้น ยังคงมีชาวรีพับลิกันเยอะเลยเชื่อว่าทรัมป์ควรจะเป็นฝ่ายได้ชัยในการเลือกตั้ง ถ้าปราศจากปัจจัยเรื่องโรคระบาดและไม่มีกระแสความเชื่อว่าทรัมป์บริหารผิดพลาดจนทำให้สถานการณ์โรคระบาดรุนแรงใหญ่โต

บางผู้นำระดับสูงสุดแห่งพรรค Grand Old Party (GOP) ซึ่งก็คือพรรครีพับลิกันนั่นเอง เชื่อว่าขณะที่พวกไม่เอาทรัมป์พากันเฉลิมฉลองความพ่ายแพ้ของทรัมป์ แต่คนรีพับลิกันไม่น่าจะทิ้งทรัมป์กันไปหมด โดยเฉพาะ (1) เมื่อคำนึงถึงท่าทีของทรัมป์ต่อนโยบายการค้า การรับคนเข้าเมือง และนโยบายต่างประเทศ ซึ่งล้วนแต่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้มีสิทธิ์เลือกตั้ง และ (2) เมื่อคำนึงถึงสภาพที่ทรัมป์เกือบจะได้รับชัยในศึกเลือกตั้งเที่ยวนี้

นอกจากนั้น ยังต้องรอดูด้วยว่าบรรดาผู้ที่แห่เข้าร่วมพรรครีพับลิกันเพราะเชียร์ทรัมป์นั้น จะยังผูกพันอยู่กับพรรคต่อหรือไม่ ในเมื่อทรัมป์ไม่มีอำนาจบริหารประเทศแล้ว

การแข่งขันชิงสิทธิ์ในการเป็นตัวแทนพรรครีพับลิกันเข้าสู่ศึกเลือกตั้งประธานาธิบดีปี 2024 ได้เริ่มขึ้นอย่างเงียบเชียบที่หลังไมค์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ผู้ที่สนใจสมัครเข้าร่วมการแข่งขันได้เริ่มเช็คกระแสกันหลายหลากรายทีเดียว ตั้งแต่พวกสายกลางอย่างผู้ว่าการรัฐแมริแลนด์ คือ แลร์รี่ โฮแกน ไปจนถึงสายดุอย่างวุฒิสมาชิกแห่งอาร์คันซอ คือ ทอม คอททอน อีกทั้งอดีตเจ้าหน้าที่ของทรัมป์อย่างอดีตผู้ว่าการรัฐเซาท์แคโรไลนา คือ นิกกี้ เฮลีย์ นอกจากนั้น บุตรชายหัวปีของทรัมป์ คือ โดนัลด์ ทรัมป์ จูเนียร์ ก็เป็นที่ชื่นชอบเป็นพิเศษในแวดวงผู้สนับสนุนทรัมป์ระดับสาวก

แอรี่ เฟลชเชอร์ชี้ว่าพรรคคงจะมองหาบางคนที่พูดจาขวานผ่าซากเร้าใจ แต่ขณะเดียวกันก็มีความยับยั้งชั่งใจที่จะไม่ “ใช้ทวีตเตอร์ผลักไสคนที่ต้องการจะอยู่ช่วยคุณ”

ผู้สนับสนุนทรัมป์มากมายยังเห็นว่าอิทธิพลของทรัมป์จะยืนยาวสืบเนื่องต่อไป

“เราได้เริ่มบางสิ่งที่จะเติบใหญ่ไปชั่วลูกชั่วหลาน” กล่าวโดยคริส ฮาลัค สาวใหญ่วัย 56 ปี เธอพูดพลางทอดสายตามองไปยังฝูงชนหลายพันชีวิตที่เข้าร่วมกิจกรรมรณรงค์หาเสียงของทรัมป์ที่เพนซิลเวเนีย ซึ่งตัวเธอก็เข้าร่วมด้วยพร้อมกับธิดาวัย 17 ปี
กำลังโหลดความคิดเห็น