xs
xsm
sm
md
lg

อดีต ปธน.‘จอร์จ ดับเบิลยู. บุช’ แถลงเตือน ‘ทรัมป์’ ควรรับฟังเสียงผู้ประท้วง

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



รอยเตอร์ - อดีตประธานาธิบดี จอร์จ ดับเบิลยู. บุช ของสหรัฐฯ ระบุวานนี้ (2 มิ.ย.) ว่าการตายของหนุ่มผิวสี จอร์จ ฟลอยด์ สะท้อน ‘ความล้มเหลวที่น่าตกใจ’ ในการแก้ไขปัญหาการเหยียดผิวในอเมริกา พร้อมเรียกร้องให้ทุกฝ่ายรับฟังเสียงผู้ประท้วง ซึ่งเหมือนจะเป็นคำเตือนกลายๆ ไปถึงประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่ขู่จะส่งทหารปราบประชาชน

จดหมายเปิดผนึกที่ บุช โพสต์ลงสื่อสังคมออนไลน์ไม่ได้มีการเอ่ยถึง ทรัมป์ อย่างโจ่งแจ้ง แต่เตือนว่าการที่ตำรวจขับไล่ผู้ชุมนุมออกจากลาฟาแย็ตต์สแควร์ตรงข้ามทำเนียบขาวเมื่อวันจันทร์ (1) เพียงเพื่อให้ ทรัมป์ ได้เดินไปถ่ายรูปชูพระคัมภีร์ไบเบิลโชว์หน้าโบสถ์แห่งหนึ่งเป็นการกระทำที่ “ไม่สอดคล้องกับค่านิยมของอเมริกา”

“ทางเดียวที่เราจะมองเห็นตัวเองตามความเป็นจริงก็คือการรับฟังเสียงของคนที่กำลังเดือดร้อนและเจ็บปวด” บุช ระบุในถ้อยแถลง “คนที่พยายามปิดกั้นเสียงเหล่านี้ไม่เข้าใจความหมายที่แท้จริงของอเมริกา และไม่เข้าใจว่าเพราะเหตุใดมันจึงกลายเป็นสถานที่ที่ดีกว่า”

หลังจากนั้นไม่นาน ทรัมป์ ได้ออกมาทวีตตอบโต้ว่า “รัฐบาลของผมทำเพื่อชุมชนคนผิวสีมากกว่าประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนใดๆ นับตั้งแต่ อับราฮัม ลินคอล์น” พร้อมทั้งชมเชยหน่วยงานความมั่นคงที่ “ใช้กำลังอย่างเต็มที่” เพื่อ “ควบคุมสถานการณ์” ในวอชิงตัน

หนังสือพิมพ์วอชิงตันโพสต์รายงานวานนี้ (2) ว่า คำสั่งขับไล่ผู้ประท้วงที่นอกทำเนียบขาวมาจาก วิลเลียม บาร์ รัฐมนตรีกระทรวงยุติธรรม

เหตุประท้วงรุนแรงที่เกิดขึ้นทั่วสหรัฐฯ คราวนี้มีต้นตอมาจากการเสียชีวิตของ ฟลอยด์ ซึ่งถูกตำรวจมินนีแอโพลิสจับฐานใช้ธนบัตรปลอมซื้อของเมื่อวันที่ 25 พ.ค. เวลานั้นมีเจ้าหน้าที่ผิวขาวคนหนึ่งพยายามล็อคตัวเขาโดยใช้เข่ากดคอเอาไว้นานเกือบ 9 นาทีจน ฟลอยด์ ขาดอากาศหายใจและเสียชีวิต

บุช และนาง ลอรา ภริยาของเขา ยอมรับว่ารู้สึกโกรธตำรวจที่ใช้วิธีป่าเถื่อนจนทำให้ ฟลอยด์ ต้องขาดใจตายอย่างน่าอนาถ

“ถึงเวลาแล้วที่อเมริกาจะต้องตรวจสอบความล้มเหลวที่น่าเศร้าของเรา และหากทำเช่นนั้นได้ เราก็จะนำความเข้มแข็งกลับคืนมา” บุช ซึ่งดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีคนที่ 43 ของสหรัฐฯ ในช่วงระหว่างปี 2001-2009 ระบุ

“มันคือความล้มเหลวที่น่าตกใจ เมื่อชาวแอฟริกันอเมริกัน โดยเฉพาะชายวัยรุ่น ยังคงถูกคุกคามและข่มขู่ในประเทศบ้านเกิดของพวกเขา... โศกนาฏกรรมครั้งนี้และอีกหลายๆ ครั้งที่เกิดขึ้นในอดีตได้จุดประเด็นคำถามที่รอคอยคำตอบมานานว่า เราจะยุติการเหยียดผิวอย่างเป็นระบบในสังคมได้อย่างไร”




กำลังโหลดความคิดเห็น