เศรษฐกิจสหรัฐฯขยายตัวในอัตราที่มากสุดในประวัติศาสตร์ ในไตรมาส 2 ผลจากรัฐบาลอัดฉีดเม็ดเงินกว่า 3 ล้านล้านดอลลาร์ในมาตรการบรรเทาผลกระทบโควิด-19 ซึ่งกระตุ้นการใช้จ่ายของผู้บริโภค แต่ยังคงมีความกังลว่าบาดแผลจากภาวะถดถอยสืบเนื่องจากการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่อาจต้องใช้เวลาเยียวยานาน 1 ปี หรือมากกว่านั้น
กระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯเปิดเผยตัวเลขประมาณการครั้งที่ 1 สำหรับตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ประจำไตรมาส 3 ของปี 2020 โดยระบุว่า เศรษฐกิจสหรัฐฯขยายตัว 33.1% ซึ่งเป็นการขยายตัวสูงเป็นประวัติการณ์นับตั้งแต่ที่สหรัฐฯเริ่มมีการรวบรวมข้อมูลเมื่อกว่า 70 ปีก่อนหน้านี้ มากกว่าพวกนักวิเคราะห์คาดหมายไว้ว่าจะขยายตัวราวๆ 31%
อย่างไรก็ตาม ข้อมูลดังกล่าว ซึ่งเป็นตัวเลขทางเศรษฐกิจหลักตัวสุดท้ายที่เผยแพร่ออกมาก่อนถึงศึกเลือกตั้งประธานาธิบดีในวันอังคารหน้า (3 พ.ย.) ไม่ได้บรรเทาสถานการณ์อันน่าสลด อันมีต้นตอจากโรคระบาดใหญ่โควิด-19 ด้วย ณ เวลานี้ ชาวอเมริกันหลายสิบล้านคนยังคงตกงาน และถูกไวรัสคร่าชีวิตไปแล้วมากกว่า 222,000 คน
แม้ขยายตัวสูงสุดเป็นประวัติการณ์ แต่การเติบโตทางเศรษฐกิจยังคงต่ำกว่าระดับ 3.5% ของช่วงปลายปี 2019 และรายได้ลดลงในไตรมาส 3 กระนั้นประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งมีคะแนนนิยมตามหลังคู่แข่งอย่าง โจ ไบเดน ในผลสำรวจความคิดเห็นของสำนัก ได้หยิบยกตัวเลขดังกล่าวมาคุยโวโอ้อวด 5 วันก่อนถึงศึกเลือกตั้งประธานาธิบดี
“มากที่สุดและดีที่สุดในประวัติศาสตร์ของประเทศ และไม่เคยแม้แต่เฉียดใกล้มาก่อนเลย” ทรัมป์เขียนบนทวิเตอร์ “ยินดีเป็นอย่างมากที่ตัวเลขจีดีพีเช่นนี้ ออกมาก่อนวันที่ 3 พฤศจิกายน”
กระนั้นทางฝั่ง ไบเดน คู่แข่งจากพรรคเดโมแครต เน้นย้ำว่า เศรษฐกิจยังไม่ฟื้นตัวอย่างสมบูรณ์และบอกว่าแรงกระตุ้นการเติบโตค่อยๆ จางหายไปแล้ว “เราอยู่ในหลุมลึก และความล้มเหลวของประธานาธิบดีทรัมป์ นั่นหมายความว่า การเติบโตในไตรมาส 3 ไม่ได้ใกล้เคียงที่จะพาเราออกจากวิกฤต” ไบเดนกล่าว “การฟื้นตัวที่กำลังเกิดขึ้นกำลังช่วยเหลือเฉพาะผู้คนที่อยู่ในระดับบน แต่ทิ้งคนทำงานอีกหลายสิบล้านครอบครัวและธุรกิจขนาดเล็กไว้เบื้องหลัง”
การฟื้นตัวของจีดีพีในไตรมาส 3 มีขึ้นหลังจากเศรษฐกิจสหรัฐฯ หดตัวถึง 31.4% ในไตรมาส 2 ซึ่งถือเป็นการหดตัวรุนแรงที่สุด นับตั้งแต่เริ่มมีการรวบรวมข้อมูลเมื่อ 1947 หลังจากหดตัว 5% ในไตรมาส 1 ส่งผลให้เศรษฐกิจสหรัฐฯเข้าสู่ภาวะถดถอย เนื่องจากมีการหดตัว 2 ไตรมาสติดต่อกัน
แพกเกจช่วยเหลือของรัฐบาล ที่มอบสายเลี้ยงชีพแก่ภาคธุรกิจต่างๆและคนว่างงาน ช่วยกระตุ้นการใช้จ่ายของผู้บริโภค และมันมีส่วนเกี่ยวข้องถึง 76.3% ต่อการฟื้นตัวของจีดีพีไตรมาส 3
อย่างไรก็ตาม สถานการณ์เป็นที่น่ากังวล เนื่องจากเวลานี้เงินช่วยเหลือของทางรัฐบาลกำลังหมดลง และยังไม่มีทีท่าว่าสภาคองเกรสจะบรรลุข้อตกลงแพกเกจเยียวยารอบใหม่ ขณะที่ตัวเลขผู้ติดเชื้อโควิด-19 กำลังเพิ่มขึ้นทั่วประเทศ บีบให้ต้องออกข้อจำกัดต่างๆนานาต่อภาคธุรกิจ อย่างเช่นร้านอาหารและบาร์
“เราจะไม่เห็นตัวเลขจีดีพี ก้าวผ่านระดับก่อนหน้าเกิดโรครบาดใหญ่จนกว่าจะถึงไตรมาส 4 ปี 2020 ขณะที่การลดช่องว่างตัวเลขผลผลิตให้อยู่ในระดับใกล้เคียงกัน อาจต้องใช้เวลานานกว่านั้น” เควิน คัมมินส์ หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์จากสถาบันแนทเวสต์ มาร์เก็ตส์ กล่าว
ในรายงานอีกฉบับ จากกระทรวงแรงงานสหรัฐฯที่เผยแพร่ในวันพฤหัสบดี (29 ต.ค.) เช่นกัน พบว่า ตัวเลขผูุ้เข้ารับสวัสดิการคนว่างงานรายใหม่รายสัปดาห์ของสหรัฐฯ ลดลง 40,000 คน เหลือ 751,000 คน ในสัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 24 ตุลาคม ตัวเลขดังกล่าวลดลงจากระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ 6.867 ล้านคนในเดือนมีนาคม ผลกระทบจากมาตรการล็อกดาวน์ ส่งผลให้ภาคธุรกิจปิดกิจการ และมีการปลดพนักงานจำนวนมาก
ตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกต่ำกว่าระดับ 1 ล้านราย เป็นสัปดาห์ที่ 9 ติดต่อกัน หลังจากพุ่งเหนือระดับ 1 ล้านรายเป็นเวลานาน 5 เดือน นับตั้งแต่เกิดการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ในสหรัฐฯ ในเดือนมีนาคม
(ที่มา: รอยเตอร์)