“ทรัมป์” ตระเวนเดินสายหาเสียงอีกครั้งท่ามกลางกองเชียร์นับพันคนโดยไม่สวมหน้ากากป้องกันเช่นเดียวกับผู้สนับสนุนส่วนใหญ่ของเขา พร้อมกับคุยโอ่แข็งแรงมากและมีภูมิต้านทานไวรัส และโจมตีมาตรการล็อกดาวน์ทำเศรษฐกิจพังยับ ด้าน “ไบเดน” อัดทรัมป์ไร้สำนึกไม่คิดป้องกันโรคระบาด ขณะที่ “หมอใหญ่สหรัฐฯ” เตือนอเมริกาจะต้องเผชิญปัญหาหนักถ้าไม่ส่งเสริมให้ประชาชนสวมหน้ากากและหลีกเลี่ยงการชุมนุมขนาดใหญ่ เวลาเดียวกันโพลล่าสุดฟ้องประธานาธิบดีจากพรรครีพับลิกันผู้นี้กำลังเสียคะแนนให้ไบเดนมากขึ้น
ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เดินทางถึงสถานที่ปราศรัยกลางแจ้งในเมืองแซนฟอร์ด รัฐฟลอริดา เมื่อวันจันทร์ (12 ต.ค.) ซึ่งถือเป็นการหาเสียงครั้งแรกใน 6 ครั้งที่วางแผนไว้สำหรับสัปดาห์นี้
ทรัมป์ที่ไม่ได้สวมหน้ากาก โยนหน้ากากแจกให้ผู้สนับสนุนนับพันคนที่ยืนเบียดเสียดกันและส่วนใหญ่ไม่สวมหน้ากากเช่นเดียวกัน พร้อมย้ำว่า ตนเองแข็งแรงดี และคุยว่ามีภูมิต้านทานไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ ซึ่งเป็นข้ออ้างที่ไม่มีหลักฐานใดๆ รองรับ
ระหว่างการปราศรัยนาน 1 ชั่วโมง ทรัมป์ยังคงใช้มุกเดิมคือ โจมตีฮิลลารี คลินตัน คู่แข่งในการเลือกตั้งเมื่อปี 2016 ว่า “ขี้โกง” กล่าวหาสื่อ “ทุจริต” และเตือนให้อเมริกันชนระวัง “ฝ่ายซ้ายหัวรุนแรง” รวมถึง “ฝันสยองยุคสังคมนิยม”
เขายังเยาะเย้ยโจ ไบเดน คู่แข่งวัย 77 ปีจากพรรคเดโมแครตว่า หาเสียงโดยไม่มีคนฟัง
ทั้งนี้ แคมเปญหาเสียงของไบเดนยึดถือแนวทางป้องกันโรคระบาด ซึ่งแตกต่างโดยสิ้นเชิงจากทรัมป์ที่ชอบอยู่ท่ามกลางคนจำนวนมากและส่วนใหญ่ไม่สวมหน้ากาก ซึ่งรวมถึงกิจกรรมหนึ่งในทำเนียบขาวเมื่อเร็วๆ นี้ที่ผู้เชี่ยวชาญระบุว่าเป็น “ซูเปอร์สเปรดเดอร์” เนื่องจากมีคนจำนวนมากติดเชื้อจากงานนั้น
การกลับสู่การหาเสียงของทรัมป์มีขึ้นขณะที่เหลือเวลาอีกเพียง 3 สัปดาห์จะถึงกำหนดเลือกตั้งในวันที่ 3 พฤศจิกายน และประธานาธิบดีวัย 74 ปีผู้นี้กำลังพยายามพลิกกระแสการแข่งขัน หลังจากผลสำรวจทั่วประเทศและในบางรัฐสำคัญฟ้องว่า ตนเองกำลังจะแพ้ไบเดน
ทว่า การหาเสียงในแซนฟอร์ดชี้ว่า ทรัมป์ไม่ได้เปลี่ยนแนวทางการหาเสียงเลยนับจากตัวเองติดโรคโควิดที่ขณะนี้มีผู้ติดเชื้อในอเมริกากว่า 7.8 ล้านคน และเสียชีวิตกว่า 214,000 คน รวมทั้งยังทำให้คนหลายล้านตกงาน
ทรัมป์ประกาศกับผู้สนับสนุนว่า มาตรการล็อกดาวน์เพื่อป้องกันการระบาดทำให้เศรษฐกิจพังยับ
ผู้นำสหรัฐฯ ถูกวิจารณ์อย่างหนักที่ไม่ชักชวนให้ผู้สนับสนุน รวมทั้งเจ้าหน้าที่ทำเนียบขาว สวมหน้ากากและเว้นระยะห่างทางสังคม โดยขณะนี้มีผู้ช่วยใกล้ชิดทรัมป์อย่างน้อย 11 คนติดโควิด
ขณะเดียวกันน.พ. แอนโทนี ฟาวซี ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคติดเชื้อชั้นนำและได้รับความเชื่อถืออย่างสูงของอเมริกา ให้สัมภาษณ์โทรทัศน์ช่องข่าวธุรกิจซีเอ็นบีซีว่า อเมริกาจะต้องเผชิญปัญหาใหญ่ถ้าไม่ส่งเสริมให้ประชาชนสวมหน้ากากป้องกันและหลีกเลี่ยงการชุมนุมขนาดใหญ่
ก่อนการหาเสียงไม่กี่ชั่วโมง ทีมแพทย์ของทรัมป์เปิดเผยว่า ผลตรวจโควิดของทรัมป์ออกมาเป็นลบหลายวันติดกันและไม่มีความเสี่ยงแพร่เชื้อให้คนอื่น ถือเป็นครั้งแรกที่ทำเนียบขาวประกาศว่า ผลตรวจโควิดของทรัมป์เป็นลบ นับจากวันที่ 2 ที่ผ่านมาที่ระบุว่าทรัมป์ติดโควิด
อย่างไรก็ดี ฌอน คอนลีย์ แพทย์ประจำตัวของทรัมป์ ไม่ได้ระบุวันเวลาที่ทำการตรวจ
ทั้งนี้ ทรัมป์พยายามอย่างหนักมาหลายเดือนเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจของประชาชนจากวิกฤตโรคระบาดและมาตรการรับมืออย่างผิดพลาดของคณะบริหารของเขา แต่การที่ตัวเขาเองติดโควิดทำให้สังคมกลับมาเพ่งเล็งประเด็นนี้ ขณะที่ไบเดนก็หยิบยกเรื่องนี้มาโจมตีซ้ำเติมทรัมป์
ในวันจันทร์ ระหว่างหาเสียงที่รัฐโอไฮโอ ซึ่งคะแนนในโพลของเขากลับตีตื้นขึ้นมาอย่างน่าจับตา อดีตรองประธานาธิบดีจากพรรคเดโมแครตผู้นี้เยาะทรัมป์ที่อ้างว่า ไม่อยากให้ประชาชนกังวลกับโรคระบาดจึงไม่ได้พูดความจริงถึงอันตรายของโควิด โดยบอกว่า ทรัมป์เองเป็นคนที่ตื่นกลัว และการไม่ระมัดระวังตัวนับตั้งแต่ตรวจพบว่า ติดโควิดถือว่า ไร้เหตุผลอย่างยิ่ง
ไบเดนสำทับว่า ทรัมป์รู้ดีว่า โควิดอันตรายแค่ไหนแต่กลับไม่ทำอะไรสักอย่าง และการไปหาเสียงที่ฟลอริดาก็ไม่มีแผนไปนำเสนอวิธีควบคุมการระบาด ทั้งที่รัฐนี้มีผู้ติดเชื้อเสียชีวิตไปกว่า 15,000 คนแล้ว โดยสิ่งที่ทรัมป์ทำคือ การปลุกปั่นสร้างความแตกแยก
ทั้งนี้ เมื่อ 4 ปีที่แล้ว ทรัมป์ชนะในโอไฮโอด้วยคะแนน 8% ซึ่งถือว่าสูง และต้องทำให้ได้อีกครั้งถ้าอยากครองทำเนียบขาวต่อ โดยที่ผ่านมายังไม่มีประธานาธิบดีจากพรรครีพับลิกันคนใดที่แพ้ในรัฐนี้
ขณะเดียวกัน ผลสำรวจของรอยเตอร์/อิปซอสส์ที่เปิดเผยเมื่อวันจันทร์ระบุว่า ไบเดนเก็บคะแนนทิ้งห่างทรัมป์ 7% ทั้งในวิสคอนซินและเพนซิลเวเนียที่ทรัมป์เคยชนะในปี 2016
ส่วนที่ฟลอริดา โพลส่วนใหญ่ให้ไบเดนนำเล็กน้อย โดยในรัฐนี้ทรัมป์เคยชนะเพียง 1.2%
(ที่มา : เอเอฟพี, รอยเตอร์, เอพี)