ราคาน้ำมันปรับลดพอสมควรในวันพุธ (7 ต.ค.) พบคลังปิโตรเลียมสำรองของสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ส่วนทองคำดิ่งลง 18 ดอลลาร์ หลังประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศระงับการเจรจากับเดโมแครตเกี่ยวกับแพกเกจกระตุ้นเศรษฐกิจรอบใหม่อย่างครอบคลุุม แต่ขณะเดียวกัน ด้วยที่เขาหันมาเรียกร้องให้คองเกรสผ่านร่างกฎหมายเยียวยาผลกระทบโควิด-19 หลายๆ ฉบับที่มีขนาดเล็กกว่า ดันให้วอลล์สตรีทพุ่งแรง
สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เทกซัส อินเตอร์มีเดียต หรือ ไลต์สวีตครูด งวดส่งมอบเดือนพฤศจิกายน ลดลง 72 เซ็นต์ ปิดที่ 39.95 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ด้านเบรนต์ทะเลเหนือลอนดอน งวดส่งมอบเดือนธันวาคม ลดลง 66 เซ็นต์ ปิดที่ 41.99 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
สำนักงานสารสนเทศด้านพลังงานสหรัฐฯ เผยแพร่รายงานในวันวันพุธ (7 ต.ค.) ระบุว่า คลังน้ำมันดิบสำรองของประเทศในสัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 2 ตุลาคม เพิ่มขึ้น 501,000 บาร์เรล มากกว่าที่พวกนักวิเคราะห์คาดหมายไว้ราวๆ เท่าตัว
แต่ขณะเดียวกัน คลังน้ำมันเบนซินสำรองลดลง 1.4 ล้านบาร์เรล ในสัปดาห์เดียวกัน เหลือ 226.8 ล้านบาร์เรล มากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดหมายว่าจะลดลง 471,000 บาร์เรล ส่วนสต๊อกน้ำมันกลั่นลดลง 962,000 บาร์เรล เป็นไปตามที่คาดหมายไว้
ด้านราคาทองคำในวันพุธ (7 ต.ค.) ปิดลบแรง หลังประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ประกาศว่า เขาระงับการเจรจากับบรรดาสมาชิกเดโมแครตในสภาคองเกรส เกี่ยวกับแพกเกจเยียวยาผลกระทบจากโควิด-19 รอบใหม่เมื่อวันอังคาร (6 ต.ค.) โดยราคาทองคำตลาดโคเม็กซ์งวดส่งมอบเดือนธันวาคม ลดลง 18 ดอลลาร์ ปิดที่ 1,890.80 ดอลลาร์ต่อออนซ์
อย่างไรก็ตาม ตลาดหุ้นสหรัฐฯในวันพุธ (7 ต.ค.) พุ่งทะยาน โดยดาวโจนส์บวกกว่า 530 จุด นักลงทุนกลับมามีความหวังเกี่ยวกับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเยียวยาผลกระทบโควิด-19 รอบใหม่ อย่างน้อยๆ ก็ในลักษณะเป็นข้อตกลงบางส่วน หลัง ทรัมป์ หันมาผลักดันร่างกฎหมายหลายๆ ฉบับแทน
ดาวโจนส์ เพิ่มขึ้น 530.70 จุด (1.91 เปอร์เซ็นต์) ปิดที่ 28,303.46 จุด เอสแอนด์พี เพิ่มขึ้น 58.50 จุด (1.74 เปอร์เซ็นต์) ปิดที่ 3,419.45 จุด แนสแดค เพิ่มขึ้น 210.00 จุด (1.88 เปอร์เซ็นต์) ปิดที่ 11,364.60 จุด
หลังจากยกเลิกการเจรจาร่างกฎหมายกระตุ้นเศรษฐกิจรอบใหม่ฉบับครอบคลุม เยียวยาผลกระทบโควิด-19 เมื่อวันอังคาร (6 ต.ค.) ในเวลาต่อมา ประธานาธิบดีทรัมป์เรียกร้องให้สภาตองเกรสผ่านร่างกฎหมายกระตุ้นเศรษฐกิจหลายฉบับที่มีขนาดเล็กกว่า ในนั้นรวมถึงแพกเกจปล่อยกู้แก่อุตสาหกรรมสายการบินที่โดยโรคระบาดใหญ่ไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่เล่นงานจนย่อยยับ
ความเคลื่อนไหวดังกล่าวผลักให้หุ้นกลุ่มสายการบินพุ่งทะยาน ในนั้นรวมถึง ยูไนเต็ด แอร์ไลน์ส ที่ปิดบวกถึง 4.3%
(ที่มา : รอยเตอร์/มาร์เกตวอตช์)