เอเจนซีส์ - ทรัมป์เร่งทำคะแนนที่นับวันยิ่งถูกไบเดนทิ้งห่าง ด้วยการอวดอ้างตนเป็นนักสู้ที่พิชิตโควิดอย่างง่ายดาย ย้ำโรคนี้ไม่น่ากลัว สวนทางกับข่าวผู้ช่วยระดับสูงติดโควิดอีกคน รวมแล้วมีผู้ติดเชื้อในทำเนียบขาวล่าสุดกว่า 20 คน ขณะที่แพทย์ใหญ่ชี้เหตุการณ์นี้สามารถป้องกันได้ ด้านไบเดนเชือดทรัมป์หันหลังให้ประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤต ชี้ การสวมหน้ากากไม่ใช่แถลงการณ์ทางการเมือง แต่เป็นการทำตามคำแนะนำทางวิทยาศาสตร์
แม้ยังต้องใช้ยาประสิทธิภาพสูงหลายขนานเพื่อรักษาโรคโควิด-19 อยู่ หลังเข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาลเพียง 3 วัน และกลับไปพักฟื้นต่อในทำเนียบขาว แต่ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ก็ไม่ยอมเสียเวลาไปมากกว่านี้ ขณะที่การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯกำลังจะมีขึ้นในวันที่ 3 พฤศจิกายน
ทั้งนี้ ในวันอังคาร (6 ต.ค.) โพลล่าสุดจากซีเอ็นเอ็น ระบุว่า โจ ไบเดน ผู้สมัครจากพรรคเดโมแครต มีคะแนนนิยมในหมู่ผู้มีแนวโน้มไปใช้สิทธิเลือกตั้งทั่วประเทศนำโด่งถึง 57% ต่อ 41% และ 66% ต่อ 32% ในกลุ่มผู้หญิง
ขณะที่โพลของรอยเตอร์/อิปซอสส์ ที่จัดทำขึ้นระหว่างวันศุกร์ (2) ที่ทรัมป์เข้าโรงพยาบาล จนถึงวันอังคาร พบว่า ไบเดนมีคะแนนขยับขึ้นอีก 4% เป็น 52% ในหมู่ผู้มีแนวโน้มไปใช้สิทธิ์เลือกตั้ง ส่วนทรัมป์ได้ 40%
ทรัมป์ยังอาศัยคำยืนยันของทีมแพทย์ทำเนียบขาว ที่ระบุว่า เขาฟื้นตัวอย่างรวดเร็วและไม่มีอาการป่วยใดๆ อวดอ้างตัวว่า เป็นนักสู้ที่สามารถเอาชนะไวรัสโคโรนาราบคาบอย่างง่ายดาย แถมย้ำว่า โควิดที่ทำให้คนอเมริกันเสียชีวิตกว่า 210,000 คน ในขณะนี้ ไม่ได้น่ากลัว
วันอังคาร (6) หรือหนึ่งวันหลังกลับสู่ทำเนียบขาว ทรัมป์ยังโพสต์บนทวิตเตอร์และเฟซบุ๊กว่า โควิดไม่ต่างจากไข้หวัดทั่วไปและต้องเรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกับโรคนี้ ส่งผลให้ทวิตเตอร์ติดคำเตือนบนโพสต์ของทรัมป์ว่า มีข้อมูลที่ทำให้เกิดความเข้าใจผิด ส่วนเฟซบุ๊กลบโพสต์ดังกล่าวเนื่องจากละเมิดกฎในการห้ามเผยแพร่ข้อมูลที่ไม่ถูกต้องเกี่ยวกับโควิด
และวันเดียวกันนั้น สตีเฟน มิลเลอร์ ผู้ช่วยระดับสูงในทำเนียบขาว ออกมายืนยันว่า ตนเองติดโควิดและต้องกักตัว
เอบีซีนิวส์ รายงานว่า ล่าสุดมีผู้ติดเชื้อที่เกี่ยวข้องกับทำเนียบขาวแล้ว 23 คน ซึ่งรวมถึงทรัมป์และภรรยา เมลาเนีย
แอนโทนี ฟาวซี ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคติดเชื้อของรัฐบาลสหรัฐฯ บอกว่า อันที่จริงแล้ว การระบาดในทำเนียบขาวควรเป็นสิ่งที่ป้องกันไม่ให้เกิดขึ้นได้
สื่อท้องถิ่นยังรายงานว่า ผู้ช่วยทางทหารที่รับผิดชอบในการถือ “ลูกฟุตบอลนิวเคลียร์” หรือกระเป๋าเอกสารบรรจุข้อมูลที่ประธานาธิบดีต้องใช้ในการปล่อยอาวุธนิวเคลียร์โจมตีข้าศึกระหว่างเดินทาง ได้ถูกตรวจพบติดโควิดในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยผู้ช่วยคนดังกล่าวเดินทางไปนิวเจอร์ซีย์กับทรัมป์เมื่อวันพฤหัสฯ ที่แล้ว (1)
ทรัมป์โจมตีสื่อว่า เอาแต่เล่นข่าวโควิด แต่ไม่สนใจความสำเร็จของคณะบริหาร เช่น ภาวะเศรษฐกิจ ตลาดหุ้น และการจ้างงานที่ดีขึ้นในยุคของตน
แต่ในความเป็นจริงดูเหมือนทรัมป์เผชิญปัญหาแทบทุกด้าน รวมถึงสิ่งที่เคยเป็นจุดแข็งที่สุดคือเศรษฐกิจ มิหนำซ้ำ เมื่อวันอังคารเขายังประกาศระงับการเจรจาต่อรองมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในรัฐสภาเพื่อช่วยเหลือธุรกิจที่ประสบปัญหา โดยกล่าวหาว่า เดโมแครตพยายามอัดฉีดงบให้แก่รัฐในการปกครองของตัวเองที่มีการบริหารผิดพลาดและอาชญากรรมชุกชุม และสำทับว่า จะกลับมาเจรจาใหม่หลังจากการเลือกตั้งที่ตนได้ชัยชนะแล้วเท่านั้น
ไบเดนโจมตีทันทีว่า ทรัมป์หันหลังให้ชาวอเมริกันที่กำลังประสบปัญหาจากวิกฤต และย้ำว่า การสวมหน้ากากไม่ใช่แถลงการณ์ทางการเมือง แต่เป็นการทำตามคำแนะนำที่อิงกับข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งเป็นการพาดพิงโดยตรงถึงทรัมป์ที่ไม่ค่อยอยากสวมหน้ากากแม้เมื่อตัวเองติดโควิดก็ตาม
อดีตรองประธานาธิบดีจากพรรคเดโมแครตผู้นี้ ยังเดินหน้ากลยุทธ์ที่ประสบความสำเร็จเป็นอย่างดีในการเรียกร้องให้ประชาชนร่วมมือกันเพื่อให้ประเทศหลุดพ้นจากอำนาจมืด การแบ่งแยก ความกลัวและการเกลียดชัง
นอกจากนั้น ไบเดนยังได้แรงสนับสนุนสำคัญจาก มิเชล โอบามา อดีตสุภาพสตรีหมายเลข 1 ที่ยังได้รับความนิยมจากประชาชนอย่างสูง โดยเธอเผยแพร่คลิปความยาว 24 นาที ซึ่งมีบางช่วงบางตอนที่เธอเรียกทรัมป์ว่า “พวกเหยียดผิว” และชักชวนประชาชนโหวตให้ไบเดน
ทั้งนี้ สองผู้ชิงตำแหน่งประธานาธิบดีมีกำหนดโต้วาทีรอบสองในวันที่ 15 ตุลาคม อย่างไรก็ดี ไบเดนให้สัมภาษณ์ว่า ถ้าทรัมป์ยังไม่หายโควิดก็ยังไม่ควรมาดีเบต
ขณะเดียวกัน คามาลา แฮร์ริส ผู้ลงสมัครคู่กับไบเดน มีกำหนดโต้วาทีกับรองประธานาธิบดี ไมค์ เพนซ์ ที่รัฐยูทาห์ ในวันพุธ (7) โดยมีแผ่นอะคริลิกใส “เพล็กซิกลาส” กั้น และเว้นระยะห่างจากกันมากกว่า 3 เมตร