รอยเตอร์ - ฌาอีร์ โบลโซนารู ประธานาธิบดีบราซิล เมื่อวันอาทิตย์ (23 ส.ค.) ขู่ต่อยปากนักข่าวคนหนึ่ง หลังสื่อมวลชนรายดังกล่าวถามถึงความเชื่อมโยงระหว่างสุภาพสตรีหมายเลข 1 กับโครงการหนึ่งซึ่งถูกกล่าวหาว่ามีการคอร์รัปชันอื้อฉาว
“ฉันอยากต่อยปากแกซะเหลือเกิน” ประะธานาธิบดีขวาจัดพูดขึ้น หลังถูกสอบถามจากผู้สื่อข่าวรายหนึ่งของสำนักข่าวโอ โกลโบ แห่งบราซิล
ผู้สื่อข่าวรายดังกล่าวเป็นหนึ่งในคณะสื่อมวลชนที่ทำการสัมภาษณ์ โบลโซนารู หลังจากเขาเสร็จสิ้นการประกอบพิธีทางศาสนาที่มหาวิหารในกรุงบราซิเลียตามปกติ ทั้งนี้ ประธานาธิบดีรายนี้เพิกเฉยเสียงประท้วงจากผู้สื่อข่าวคนอื่นๆ หลังระเบิดอารมณ์ออกมา และเดินหนีไปโดยไม่ได้ให้สัมภาษณ์เพิ่มเติม
รายงานข่าวระบุว่า ผู้สื่อข่าวของโอ โกลโบ ได้สอบถามประธานาธิบดีเกี่ยวกับรายงานข่าวของนิตยสารครูโซเอ ที่โยง มิเชล โบลโซนารู สุภาพสตรีหมายเลข 1 กับ ฟาบริซิโอ เคยรอซ อดีตนายตำรวจเกษียณอายุ เพื่อนของประธานาธิบดีและอดีตที่ปรึกษาของ ฟลาวิโอ โบลโซนารู ลูกชายของประธานาธิบดี ที่ตอนนี้ดำรงตำแหน่งวุฒิสมาชิก
เคยรอซ และ ฟลาวิโอ โบลโซนารู กำลังอยู่ภายใต้การสืบสวนในโครงการหนึ่งซึ่งถูกกล่าวหาว่าโกงเงินลูกจ้างรัฐบาล เมื่อครั้งที่โบลโซนารูคนลูก เป็นสมาชิกสภาท้องถิ่นในรัฐรีโอเดจาเนโร และก่อนหน้าที่ โบลโซนารูคนพ่อ จะก้าวมาเป็นประธานาธิบดีในเดือนมกราคม 2019
นิตยสารครูโซเอ ระบุว่า เคยรอซ ฝากเงินเข้าบัญชีธนาคารของ มิเชล โบลโซนารู หลายครั้งระหว่างปี 2011 ถึง 2016
ทั้งนี้ ทางสุภาพสตรีหมายเลข 1 ไม่เคยพูดอะไรเกี่ยวกับคดีนี้เลย
ไม่นานหลังจากประธานาธิบดีระเบิดอารมณ์ใส่นักข่าว ทางสำนักข่าวโอ โกลโบ ได้ออกถ้อยแถลงระบุว่า “เราไม่ยอมรับพฤติกรรมก้าวร้าวของผู้รายนี้ที่มีต่อผู้สื่อข่าวของเราที่กำลังปฏิบัติหน้าที่ด้วยความเป็นมืออาชีพ” พร้อมบอกต่อว่า “การข่มขู่เช่นนี้แสดงให้เห็นว่า ฌาอีร์ โบลโซนารู ไม่รู้จักหน้าที่ของราชการที่ต้องรับใช้ประชาชน”
ความเดือดดาลล่าสุดนี้เกิดขึ้นในขณะที่ โบลโซนารู กำลังตกอยู่ภายใต้แรงกดดันอย่างหนักหน่วงต่อแนวทางวางเฉยรับมือกับโรคระบาดใหญ่ไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ (โควิด-19) จนทำให้บราซิลกลายเป็นประเทศที่มีผู้ติดเชื้อและเสียชีวิตสูงสุดเป็นอันดับ 2 ของโลก
กระทรวงสาธารณสุขบราซิลเปิดเผยในวันอาทิตย์ (23 ส.ค.) ว่าพบผู้ติดเชื้อโควิด-19 รายใหม่อีก 23,421 คนในช่วง 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา และเสียชีวิต 494 คน ส่งผลให้ยอดผู้ติดเชื้อสะสมนับตั้งแต่โรคระบาดใหญ่เริ่มต้นขึ้นอยู่ที่ 3,605,783 คน และเสียชีวิตสะสม 114,744 ราย เป็นรองเพียงสหรัฐฯชาติเดียวเท่านั้น
โบลโซนารู แห่งบราซิล กดดันให้รัฐต่างๆ กลับมาเปิดเศรษฐกิจ ทำให้หลายเมืองต้องยกเลิกมาตรการล็อกดาวน์ แม้ยอดผู้เสียชีวิตจากโควิด-19 ยังคงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และในบางกรณีพบเห็นชาวบราซิลยังคงเบียดเสียดกันเข้าไปในบาร์ และรวมตัวกันจำนวนมากบริเวณจัตุรัสสาธารณะต่างๆ แถมบ่อยครั้งยังเพิกเฉยต่อกฎระเบียบที่กำหนดโดยเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นด้วย
ตั้งแต่บราซิลเริ่มเผชิญวิกฤตโรคระบาดใหม่ๆ ประธานาธิบดีขวาจัดรายนี้ ฏิเสธความร้ายแรงของโควิด-19 มาตลอด และยังตำหนิผู้ว่าการรัฐต่างๆ ที่ออกคำสั่งล็อกดาวน์ปิดเมือง
นอกจากนี้แล้ว บ่อยครั้งที่ โบลโซนารู เพิกเฉยต่อคำแนะนำเกี่ยวกับการเว้นระยะห่างทางสังคม โดยเดินออกไปยังลานกว้างของทำเนียบประธานาธิบดี เพื่อพบปะกับบรรดาผู้สนับสนุน และเขายังคงทำแบบนั้น แม้กระทั่งหลังจากผลการตรวจโควิด-19 ของเขาออกมาเป็นบวกเมื่อช่วงต้นเดือนกรกฎาคม
ผู้นำฝ่ายขวารายนี้โต้แย้งว่า ความเสียหายทางเศรษฐกิจจากมาตรการล็อกดาวน์นั้นเลวร้ายกว่าตัวไวรัสเองเสียอีก ในขณะที่เขาเคยปฏิสธความรุนแรงของโควิด-19 โดยบอกว่ามันเป็นแค่ไข้หวัดเล็กๆ น้อยๆ ที่สามารถรักษาหายได้ด้วยวิธีการต่างๆ ที่ยังไม่ผ่านการพิสูจน์ ในนั้นรวมถึงการใช้ยาต่อต้านมาลาเรีย “ไฮดรอกซีคลอโรควิน”