เอเจนซีส์ – เกาหลีใต้พบเคสใหม่ในอัตราเลขสามหลักติดต่อกันเป็นวันที่ 5 ขณะที่เจ้าหน้าที่เร่งติดตามตัวสมาชิกหลายร้อยคนของโบสถ์คริสต์แห่งหนึ่งในกรุงโซลที่มีการระบาดแบบกลุ่มก้อน และกองทัพก็ล็อกดาวน์ฐานทัพหลายแห่งเพื่อหยุดยั้งโรคติดต่อ ด้านองค์การอนามัยโลก (WHO) แสดงความกังวลว่า คนวัย 20-40 ปีมีส่วนมากขึ้นให้การแพร่โรคโควิด-19 ยิ่งลุกลาม โดยที่สำคัญหลายคนไม่รู้ว่าตัวเองติดเชื้อ ซึ่งเพิ่มความเสี่ยงในการระบาดไปยังผู้อื่น
ศูนย์เพื่อการควบคุมและป้องกันโรคแห่งเกาหลี (เคซีดีซี) รายงานวันอังคาร (18 ส.ค.) ว่า พบผู้ติดเชื้อใหม่ในรอบ 24 ชั่วโมงจนถึงเที่ยงคืนวันจันทร์ (17) จำนวน 246 คน ทั้งนี้หลังจากบังคับใช้กฎการเว้นระยะห่างทางสังคมในกรุงโซลได้ 2 วัน
เกาหลีใต้เป็นหนึ่งในประเทศที่ได้รับการยกย่องว่าประสบความสำเร็จในการสกัดการระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ แต่ขณะนี้กลับมาพบผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นอย่างน่ากังวลใจอีกครั้ง โดยมียอดผู้ติดเชื้อสะสมรวม 15,671 คน และเสียชีวิต 306 คน
คิม กังลิป รัฐมนตรีช่วยสาธารณสุขแถลงในวันอังคาร (18) ว่า มีผู้ติดเชื้ออย่างน้อย 457 คนเชื่อมโยงกับโบสถ์คริสต์โปรเตสแตนต์ “ซารังเจอิล” ในโซล ซึ่ง 10 คนในจำนวนนี้ยืนยันว่า ไปร่วมประท้วงต่อต้านรัฐบาลในช่วง 2 สุดสัปดาห์ที่ผ่านมา
เจ้าหน้าที่ยังกำลังพยายามติดตามสมาชิกโบสถ์ดังกล่าวหลายร้อยคนเพื่อแจ้งให้กักตัวอยู่บ้านและรับการตรวจหาเชื้อเนื่องจากมีความเสี่ยงสูงสุดในการแพร่เชื้อ
ควอน จุนวุก รองผู้อำนวยการเคซีดีซีเตือนว่า ถ้าสัปดาห์นี้ยังควบคุมการระบาดไม่ได้ จะไม่สามารถยับยั้งสถิติการติดเชื้อรายวันในโซลที่มีประชาชนถึง 25 ล้านคนได้ และยังเสี่ยงต่อความปลอดภัยของผู้สูงวัยและผู้มีร่างกายอ่อนแอด้วย
นอกจากนั้นแดนโสมขาวยังพบการระบาดแบบกลุ่มก้อนในร้านกาแฟสตาร์บัคส์แห่งหนึ่งนอกกรุงโซล โดยมีผู้ติดเชื้อใหม่อีก 7 คน รวมเป็น 49 คน
ด้านกระทรวงกลาโหมรายงานว่า กองทัพพบผู้ติดเชื้อเพิ่ม 2 คน ทำให้จำนวนผู้ติดเชื้อในฐานทัพเพิ่มเป็น 88 คน นอกจากนี้ยังมีทหารอีก 461 คนถูกกักตัว และทหารทั้งหมดได้รับคำสั่งห้ามออกจากกรมกอง ห้ามลาหยุดและห้ามผู้มาเยี่ยม จนถึงสิ้นเดือนนี้
รายงานระบุว่า นายกรัฐมนตรีชุง เซ-กยุน จัดประชุมฉุกเฉินเพื่อหารือเกี่ยวกับการขยายมาตรการจำกัดเข้มงวดทั่วประเทศ
ขณะนี้ โซลอยู่ภายใต้มาตรการจำกัดเฟส 2 ที่ห้ามการทำกิจกรรมร่วมกันภายในอาคารเกิน 50 คน และไม่เกิน 100 คนสำหรับพื้นที่กลางแจ้ง รวมทั้งห้ามการเข้าชมการแข่งขันกีฬา
ทางด้านฟิลิปปินส์ กระทรวงสาธารณสุขรายงานเมื่อวันอังคารว่า พบผู้ติดเชื้อเพิ่ม 4,836 คน นับเป็นวันที่ 7 ติดกันที่พบเคสใหม่เกิน 3,000 คน รวมยอดผู้ติดเชื้อสะสม 169,213 คน ส่วนผู้เสียชีวิตมีเพิ่ม 7 คน รวมเป็น 2,687 คน
ทั้งนี้ ประธานาธิบดีโรดริโก ดูเตอร์เต สั่งผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ในกรุงมะนิลาและ 4 จังหวัดใกล้เคียงเมื่อวันจันทร์เพื่อปลดล็อกเศรษฐกิจ แม้ฟิลิปปินส์มีผู้ติดเชื้อมากที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ก็ตาม
ที่นิวซีแลนด์ ในวันอังคาร นายกรัฐมนตรีจาซินดา อาร์เดิร์น ตอบโต้คำพูดของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของอเมริกาที่ว่า โควิดระบาดหนักในแดนกีวีจนเกินการควบคุม โดยระบุว่า “ผิดถนัด” และว่า ทุกคนที่ติดตามสถานการณ์จะเห็นได้อย่างง่ายดายว่า การพบผู้ติดเชื้อวันละ 9 คนในนิวซีแลนด์ ไม่อาจเทียบได้กับจำนวนผู้ติดเชื้อวันละหลายหมื่นคนในอเมริกา
นิวซีแลนด์เป็นหนึ่งในประเทศที่ประสบความสำเร็จในการควบคุมการติดเชื้อในประเทศ
แต่ในการหาเสียงที่รัฐมินนิโซตาเมื่อวันจันทร์ ทรัมป์วิจารณ์ว่า พวกที่ยกย่องนิวซีแลนด์เป็นตัวอย่างความสำเร็จในการต่อสู้กับไวรัสโคโรนาคือผู้ที่คิดผิด พร้อมกับปล่อยข่าวเท็จที่ว่า นิวซีแลนด์กำลังเผชิญการระบาดครั้งใหญ่
นับจากโควิดเริ่มระบาดเมื่อราว 8 เดือนที่แล้ว นิวซีแลนด์ที่มีประชากร 5 ล้านคน พบผู้ติดเชื้อราว 1,300 คน และขณะนี้มีผู้รักษาตัวในโรงพยาบาลประมาณ 70 คน ส่วนอเมริกาเป็นประเทศที่ได้รับผลกระทบรุนแรงที่สุดด้วยจำนวนผู้ติดเชื้อสะสมกว่า 5 ล้านคนและเสียชีวิตกว่า 170,000 คน
วันอังคาร ทาเคชิ คาซาอิ ผู้อำนวยการประจำแปซิฟิกตะวันตกขององค์การอนามัยโลก (WHO) แสดงความกังวลว่า โรคระบาดนี้กำลังเปลี่ยนไป โดยคนวัย 20-40 ปีมีส่วนมากขึ้นให้การระบาดลุกลาม ที่สำคัญหลายคนไม่รู้ว่า ตัวเองติดเชื้อ ซึ่งเพิ่มความเสี่ยงในการระบาดไปยังผู้อื่น
ขณะที่ในอีกด้านหนึ่ง พอล แทมบ์ยาห์ ที่ปรึกษาอาวุโสของมหาวิทยาลัยแห่งชาติสิงคโปร์และประธานของสมาคมนานาชาติว่าด้วยโรคติดต่อ ระบุว่า มีหลักฐานบ่งชี้ว่า การกลายพันธุ์ของไวรัสโคโรนาที่พบในยุโรป อเมริกาเหนือ และบางส่วนของเอเชีย เกิดขึ้นควบคู่กับอัตราการเสียชีวิตที่ลดลง บ่งชี้ว่า เชื้อโรคที่กลายพันธุ์นี้ อาจมีความสามารถในการแพร่เชื้อมากขึ้นแต่มีความรุนแรงลดลง
ทั้งนี้ เมื่อวันอาทิตย์ (16) นัวร์ ฮิชาม อับดุลเลาะห์ อธิบดีกรมสุขภาพของมาเลเซีย เรียกร้องให้ประชาชนระมัดระวังมากขึ้น หลังเจ้าหน้าที่ตรวจพบการกลายพันธุ์ของไวรัสโคโรนาในการระบาดแบบกลุ่มก้อน 2 กรณีเมื่อเร็วๆ นี้ ซึ่งทำให้ไวรัสมีความสามารถในการแพร่เชื้อมากขึ้น 10 เท่า