รอยเตอร์ – ภูฏานประกาศล็อกดาวน์ทั่วประเทศในวันอังคาร (11 ส.ค.) หลังพลเมืองรายหนึ่งซึ่งเดินทางกลับจากต่างประเทศไม่แสดงอาการป่วย แต่กลับตรวจพบเชื้อโควิด-19 หลังออกจากสถานกักตัว และมีการสัมผัสใกล้ชิดกับคนจำนวนมากในกรุงทิมพู
ผู้ป่วยรายล่าสุดทำให้ยอดผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ในดินแดนบนเทือกเขาหิมาลัยเพิ่มขึ้นเป็น 113 ราย ซึ่งยังคงต่ำที่สุดในภูมิภาคเอเชียใต้ และจนถึงขณะนี้ยังไม่มีผู้เสียชีวิต
ภูฏานไม่อนุญาตให้นักท่องเที่ยวเดินทางเข้าประเทศในเดือน มี.ค. หลังพบชาวอเมริกันรายหนึ่งติดเชื้อโควิด-19 และกำหนดให้ทุกคนที่เดินทางกลับจากต่างประเทศต้องเข้าสู่กระบวนการกักกันโรคเป็นเวลา 3 สัปดาห์
สำหรับมาตรการปิดเมืองทั่วประเทศนี้มีขึ้นหลังจากสตรีชาวภูฏานวัย 27 ปี ซึ่งเดินทางกลับจากคูเวต และได้รับอนุญาตให้ออกจากสถานกักตัวหลังมีผลตรวจโควิด-19 เป็นลบ กลับมามีผลตรวจ ‘เป็นบวก’ ที่คลินิกแห่งหนึ่งเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา (10)
“มาตรการล็อกดาวน์ถูกนำมาใช้เป็นครั้งแรกเพื่อค้นหาและแยกตัวผู้ติดเชื้อทั้งหมด และทำลายห่วงโซ่การแพร่เชื้อในทันที” รัฐบาลภูฏานระบุในถ้อยแถลง ซึ่งจะนำไปสู่การจำกัดการเดินทางของยานพาหนะและประชากรราว 750,000 คน
“ขอให้ทุกคนอยู่บ้านเพื่อปกป้องตนเองและครอบครัวจากโรคนี้ เพราะอาจจะมีการแพร่กระจายของเชื้อซึ่งยังตรวจไม่พบ” รัฐบาลภูฏาน ระบุ
สถานศึกษาทุกแห่ง รวมถึงสถาบัน, สำนักงาน และห้างร้านต่างๆ ถูกสั่งปิดชั่วคราว และมีการเลื่อนวันสอบของนักศึกษาออกไปก่อน ส่วนนักเรียนที่อยู่ในโรงเรียนประจำก็จะต้องเก็บตัวอยู่ภายในโรงเรียน โดยปฏิบัติตามมาตรการควบคุมโรคอย่างเคร่งครัด
เจ้าหน้าที่ระบุว่า ความสำเร็จของภูฏานในการควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด-19 เกิดจากมาตรการคัดกรองผู้เดินทางเข้าประเทศแต่เนิ่นๆ ทั้งยังมีการตรวจหาเชื้อและสั่งปิดพรมแดน รวมถึงปิดท่าอากาศยานนานาชาติที่เมืองพาโรใกล้กรุงทิมพู โดยอนุญาตให้เฉพาะเที่ยวบินที่อพยพชาวภูฏานกลับประเทศลงจอดได้เท่านั้น
อย่างไรก็ตาม โรคระบาดใหญ่โควิด-19 ก็ส่งผลกระทบหนักต่ออุตสาหกรรมการท่องเที่ยวซึ่งสร้างรายได้ให้กับภูฏานเฉลี่ยปีละ 80 ล้านดอลลาร์ (ราว 2,490 ล้านบาท) ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา โดยในปีที่แล้วมีนักท่องเที่ยวมาเยือนภูฏานเพิ่มขึ้น 15% เป็น 315,600 คน