xs
xsm
sm
md
lg

Weekend Focus: จำคุก 12 ปี ‘นาจิบ ราซัก’ ปล้นเงิน 1MDB สั่งปรับหลานชาย ‘ลีกวนยู’ หมิ่นศาล ส่องกระบวนการยุติธรรมเพื่อนบ้านแล้วย้อนดู ‘ไทย’

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


(จากซ้ายไปขวา) ลี เซิงอู่ (Li Shengwu) หลานชายของอดีตนายกรัฐมนตรี ลี กวนยู บิดาผู้ก่อตั้งชาติสิงคโปร์ และอดีตนายกรัฐมนตรี นาจิบ ราซัก แห่งมาเลเซีย
นาจิบ ราซัก อดีตนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ถูกศาลสูงแดนเสือเหลืองตัดสินจำคุกเป็นเวลา 12 ปี เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา (28 ก.ค.) ในข้อหาทุจริตคอร์รัปชันที่เกี่ยวข้องกับคดียักยอกเงินหลายพันล้านดอลลาร์จากกองทุน วัน มาเลเซีย ดีเวลลอปเมนต์ เบอร์ฮัด (1MDB) ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญที่นำมาสู่การสูญเสียอำนาจของรัฐบาลกลุ่มบาริซาน เนชันแนล (บีเอ็น) ของเขาเมื่อ 2 ปีก่อน ขณะเดียวกัน หลานชายแท้ๆ ของอดีตนายกรัฐมนตรี ลี กวนยู ผู้ก่อตั้งชาติสิงคโปร์ ก็ถูกลงโทษปรับฐาน “หมิ่นศาล” เมื่อวันพุธ (29) นับเป็น 2 คดีดังในรอบสัปดาห์ที่สะท้อนมาตรฐานกระบวนการยุติธรรมในประเทศเพื่อนบ้านของไทย

ผู้พิพากษา โมฮาเหม็ด นาซลัน โมฮาเหม็ด กาซาลี ได้ตัดสินจำคุกอดีตนายกฯ มาเลเซีย ผู้อื้อฉาวเป็นเวลา 12 ปี และปรับเงินอีก 210 ล้านริงกิต ในความผิดฐานใช้อำนาจโดยมิชอบ ซึ่งคดีนี้ถูกมองว่าเป็นบททดสอบความมุ่งมั่นของมาเลเซียที่จะขจัดปัญหาการทุจริตคอร์รัปชัน และมีนัยสำคัญทางการเมือง

นาจิบ วัย 67 ปี ยังถูกศาลพิพากษาจำคุก 10 ปีในข้อหาละเมิดต่อหน้าที่ 3 กระทง และข้อหาฟอกเงินอีก 3 กระทง จากการรับเงินผิดกฎหมายเกือบ 10 ล้านดอลลาร์มาจากบริษัท เอสอาร์ซี อินเทอร์เนชันแนล ซึ่งเคยเป็นหน่วยงานหนึ่งของ 1MDB แต่เนื่องจากผู้พิพากษาให้ลงโทษจำคุกโดยนับเวลาพร้อมกัน (concurrently) จึงเท่ากับว่า นาจิบ จะใช้ชีวิตอยู่ในเรือนจำจริงๆ เพียงแค่ 12 ปี

อย่างไรก็ตาม ศาลอนุญาตตามคำร้องของทนายจำเลยให้เลื่อนการลงโทษจำคุกและปรับเงินออกไปก่อน แต่สั่งให้อดีตนายกฯ เพิ่มวงเงินประกันตัว และต้องมารายงานตัวต่อสถานีตำรวจเดือนละ 2 ครั้ง

อดีตผู้นำรายนี้ยังคงยืนกรานในความบริสุทธิ์ของตนเอง และประกาศจะต่อสู้คดีในศาลขั้นต่อๆ ไปจนกว่าจะสิ้นสุดกระบวนการ ซี่งคาดว่าน่าจะยืดเยื้ออีกเป็นแรมปี

สำหรับวงเงินเกือบ 10 ล้านดอลลาร์ในคดีเอสอาร์ซีนั้นเป็นแค่เศษเสี้ยวเล็กๆ ของเงินทั้งหมดหลายพันล้านดอลลาร์ที่ว่ากันว่า นาจิบ และพวกได้ยักย้ายถ่ายโอนออกไปจาก 1MDB กองทุนเพื่อการพัฒนาเศรษฐกิจระยะยาวที่เขาก่อตั้งขึ้นเองเมื่อปี 2009


ทางการสหรัฐฯ และมาเลเซียตรวจพบว่ามีเงินทุนประมาณ 4,500 ล้านดอลลาร์ถูกขโมยออกไปจากกองทุน 1MDB ซึ่งบรรดาคนสนิทของ นาจิบ ได้นำเงินเหล่านี้ไปซื้อทรัพย์สินอย่างสุรุ่ยสุร่ายในต่างประเทศ ทั้งอสังหาริมทรัพย์ระดับไฮเอนด์ เรือยอชต์ เรื่อยไปจนถึงงานศิลปะราคาแพง และเงินบางส่วนยังถูกนำไปเป็นทุนสร้างภาพยนตร์ฮอลลีวูดเรื่อง “เดอะ วูลฟ์ ออฟ วอลล์สตรีท” ซึ่งนำแสดงโดย ลีโอนาร์โด ดิคาปริโอ

สำหรับเงินทุนที่ถูกโอนเข้าบัญชีส่วนตัวของ นาจิบ นั้นมีมากกว่า 1,000 ล้านดอลลาร์ ซึ่งทำให้เขาโดนข้อหาทุจริตรวมทั้งสิ้นถึง 42 กระทง นอกจากนี้ อัยการมาเลเซียยังพบว่าเงินราว 27 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ถูกนำไปซื้อสร้อยเพชรสีชมพูให้แก่นาง รอสมะห์ มันซูร์ ภรรยาของนาจิบ และบางส่วนถูกนำไปใช้เป็นทุนในการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้ง

เจฟฟ์ เซสชันส์ อดีตรัฐมนตรีกระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ เคยเรียกคดียักยอกเงิน 1MDB ว่าเป็นผลงานของ “ระบอบโจราธิปไตย (kleptocracy) ขั้นเลวร้ายที่สุด”

โกลด์แมนแซคส์ วาณิชธนกิจชื่อดังสัญชาติอเมริกันก็พัวพันกับเรื่องฉาวโฉ่นี้ด้วย ซึ่งนำไปสู่การถูกปรับเงินมหาศาลชุดใหญ่ทั้งในสหรัฐฯ และมาเลเซีย

ความรู้สึกโกรธแค้นของชาวมาเลเซียต่อพฤติการณ์ปล้นชาติคราวนี้เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้รัฐบาลบีเอ็นของ นาจิบ ที่ผูกขาดอำนาจปกครองมาเลเซียมานานกว่า 60 ปีต้องประสบความพ่ายแพ้แบบหักปากกาเซียนในศึกเลือกตั้งเมื่อปี 2018 และการหวนคืนสู่อำนาจของ มหาเธร์ โมฮาหมัด คราวนั้นก็ทำให้คดีทุจริต 1MDB ถูกรื้อฟื้น นำมาสู่การจับกุมและตั้งข้อหากับทั้ง นาจิบ และภรรยาของเขา

คำพิพากษาครั้งนี้ยังถูกยกย่องว่าเป็นสิ่งสะท้อนถึงความเข้มแข็งของหลักนิติธรรมในมาเลเซีย แม้ว่าพันธมิตรทางการเมืองของ นาจิบ จะได้คืนสู่อำนาจในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่งของรัฐบาลผสมชุดปัจจุบันก็ตาม

กลุ่มผู้สนับสนุนอดีตนายกรัฐมนตรี นาจิบ ราซัก ป่าวร้องสโลแกนและแสดงความไม่พอใจกับคำพิพากษาของศาล
โอะห์ เอ ซุน (On Ei Sun) นักวิเคราะห์อาวุโสจากสถาบันกิจการระหว่างประเทศในสิงคโปร์ ชี้ว่า คำพิพากษาของศาลสูงมาเลเซียทำให้ นาจิบ กลายเป็น “นายกรัฐมนตรีคนแรกของแดนเสือเหลืองที่ถูกตัดสินลงโทษในคดีคอร์รัปชัน” ขณะที่นักการเมืองท้องถิ่นและคนในอีกหลายแวดวงที่เคยแสดงความวิตกกังวลเรื่องการยักยอกเงินทุน 1MDB เมื่อหลายปีก่อนก็แสดงความชื่นชมต่อคำตัดสินนี้

ทีมทนายของ นาจิบ อ้างว่า อดีตนายกฯ ถูก โจ โลว์ (Jho Low) นักการเงินชาวมาเลเซียและเจ้าหน้าที่ 1MDB อีกหลายคนหลอกลวงให้หลงเชื่อว่าเงินที่โอนมาเข้าบัญชีเขานั้นเป็นเงินบริจาคจากราชวงศ์ซาอุดีอาระเบีย อย่างไรก็ตาม ผู้พิพากษา โมฮาหมัด นาซลัน วินิจฉัยว่าข้ออ้างดังกล่าว “ฟังไม่ขึ้น” และตั้งคำถามกลับว่าเหตุใด นาจิบ จึงไม่เคยนึกสงสัยเรื่องเงินบริจาคนี้

แม้พรรคอัมโนของ นาจิบ จะเป็นหนึ่งในพรรคร่วมรัฐบาลของนายกรัฐมนตรี มูห์ยิดดิน ยัสซิน ผู้นำมาเลเซียคนปัจจุบัน ทว่า นายกฯ เสือเหลืองยืนยันเมื่อวันอังคาร (28) ว่าจะเคารพตัดสินของศาล และยืนหยัดปกป้องหลักนิติธรรมของประเทศ

ทั้งนี้ หลังจากที่พรรคอัมโนได้กลับคืนสู่อำนาจเมื่อเดือน ก.พ. ปรากฏว่าอัยการมีคำสั่งให้ถอนฟ้องข้อหาฟอกเงินที่มุ่งเล่นงาน ‘ริซา อาซิส’ บุตรชายบุญธรรมของนาจิบ ซึ่งเป็นคนหนึ่งที่ถูกกล่าวหาว่ารับเงินก้อนโตจากกองทุน 1MDB รวมทั้งนำเงินส่วนหนึ่งไปเป็นทุนให้แก่บริษัทโปรดักชันหนังฮอลลีวูดของตนที่สร้างภาพยนตร์เรื่อง “เดอะ วูลฟ์ ออฟ วอลล์สตรีท”

มาครั้งนี้นักวิเคราะห์จึงตั้งข้อสังเกตว่า คำพิพากษาจำคุก นาจิบ อาจบ่อนทำลายเสถียรภาพรัฐบาลผสมของ มูห์ยิดดิน ซึ่งเวลานี้มีเสียงข้างมากในสภาบางเฉียบ หากว่าอดีตนายกฯ ตัดสินใจนำสมาชิกพรรคอัมโนที่ยังจงรักภักดีต่อตนถอนตัวจากการร่วมรัฐบาล

นายกรัฐมนตรี ลี เซียนลุง แห่งสิงคโปร์
ขณะเดียวกัน ศาลสูงสิงคโปร์ได้พิพากษาให้หลานชายแท้ๆ ของนาย ลี กวนยู บิดาผู้ก่อสร้างชาติ ต้องโทษปรับเป็นเงิน 15,000 ดอลลาร์สิงคโปร์ หรือประมาณ 343,000 บาทเมื่อวันพุธ (29) จากการมีพฤติกรรม “ดูหมิ่นศาล” ซึ่งถือเป็นคดีความที่ยืดเยื้อและพัวพันถึงความขัดแย้งยุ่งเหยิงภายในครอบครัวผู้นำสิงคโปร์

คดีนี้มีต้นเหตุมาจากการที่ ลี เซิงอู่ (Li Shengwu) ซึ่งเป็นบุตรชายของ ลี เซียนหยาง น้องชายนายกรัฐมนตรี ลี เซียนลุง ได้โพสต์ข้อความลงเฟซบุ๊กเมื่อปี 2017 ว่า รัฐบาลสิงคโปร์มีพฤติกรรม “ขี้ฟ้อง” และมี “กระบวนการยุติธรรมที่อ่อนปวกเปียก”

คำพูดของ ลี เซิงอู่ วัย 35 ปี ซึ่งปัจจุบันเป็นผู้ช่วยศาสตราจารย์ประจำมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดในสหรัฐฯ โยงใยกับข้อพิพาทเรื่องการจัดการมรดกบ้านพักบนถนนออร์ชาร์ดของนาย ลี กวนยู ซึ่งทำให้พ่อของเขากับนายกฯ ลี ผู้เป็นพี่ชายต้องผิดใจกันอย่างหนัก

ทั้งนี้ อดีตผู้นำ ลี กวนยู ซึ่งถึงแก่อสัญกรรมเมื่อปี 2015 ได้สั่งเสียลูกๆ ให้รื้อบ้านทิ้ง เนื่องจากไม่ต้องการให้เกิด “ลัทธิบูชาบุคคล” ขึ้นหลังจากที่ตนลาโลกไปแล้ว แต่ปรากฏว่านายกฯ ลี ยืนยันที่จะเก็บบ้านหลังนี้ไว้เป็นอนุสรณ์ระลึกถึงบิดา ซึ่งทำให้น้องๆ ของเขามองว่าพี่ชายลุแก่อำนาจและต้องการนำสมบัติพ่อมาแสวงหาผลประโยชน์

ความบาดหมางภายในครอบครัวยังทำให้ ลี เซียนหยาง ตัดสินใจสมัครเป็นสมาชิกพรรคฝ่ายค้านสิงคโปร์ก้าวหน้า (PSP) ซึ่งถือเป็นการประกาศจุดยืนท้าทายพี่ชายของตนอย่างชัดเจน

ลี เซิงอู่ ปฏิเสธที่จะเข้าร่วมการไต่สวน และไม่ได้ส่งทนายตัวแทนไปรับฟังคำพิพากษาของศาลเมื่อวันพุธ (29) ด้วย

ผู้พิพากษา คันนัน ราเมศ ระบุในคำพิพากษาว่า ข้อกล่าวหาที่ ลี เซิงอู่ เขียนในเฟซบุ๊กเมื่อ 3 ปีก่อน “ไม่มีมูลอย่างสิ้นเชิง” และ “ไม่ใช่การวิพากษ์วิจารณ์อย่างเป็นธรรม” และหาก ลี ไม่เดินทางมาเสียค่าปรับภายใน 2 สัปดาห์ เขาก็จะต้องรับโทษจำคุกเป็นเวลา 1 สัปดาห์แทน

ลี เซิงอู่ ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กเมื่อวันพุธ (29) ว่า “ผมไม่เห็นด้วยกับคำตัดสิน” และชี้ว่า “รัฐบาลทำให้เจ้าหน้าที่รัฐเสียเวลาทำงานไป 3 ปีเต็ม เพียงเพื่อจะเอาผิดกับคำพูด 3 คำที่ถูกโพสต์ลงในเพจบุ๊กส่วนตัว”

ทายาทหนุ่มตระกูล ลี ยังแสดงความวิตกด้วยว่า คำพิพากษาของศาลจะกลายเป็นเครื่องมือสนับสนุนความพยายามปิดปากคนธรรมดาในสิงคโปร์ไม่ให้แสดงความคิดเห็นทางการเมืองต่อต้านพรรคกิจประชาชน PAP (People's Action Party) ซึ่งเป็นพรรครัฐบาล

จากทั้ง 2 คดีที่กล่าวมาพอจะเป็นภาพสะท้อนให้เห็นถึงการบังคับใช้กฎหมายในประเทศเพื่อนบ้านที่ใครก็ตามเมื่อทำผิดต้องรับผิดชอบต่อการกระทำของตน และอาจทำให้หลายคนต้องย้อนกลับมามองระบบยุติธรรมของไทยเราที่หลายครั้งกฎหมายยังสาวไปไม่ถึงตัวคนทำผิดที่มีอำนาจวาสนา จนเกิดเป็นวลีสุดคลาสสิกที่ว่า "คุกมีไว้ขังคนจน" ซึ่งก็เป็นหน้าที่ของสังคมที่ต้องช่วยกันติดตามตรวจสอบเพื่อทำให้กระบวนการยุติธรรมปราศจากข้อยกเว้น และมีความเป็นธรรมเท่าเทียมสำหรับทุกคนอย่างแท้จริง

บ้านพักเก่าแก่ของอดีตนายกรัฐมนตรี ลี กวนยู บนถนนออร์ชาร์ด ซึ่งกลายมาเป็นปมเหตุทะเลาะวิวาทในหมู่พี่น้องตระกูลลี
กำลังโหลดความคิดเห็น