ซีเอ็นเอ็น/รอยเตอร์ - ประธานาธิบดี ฌาอีร์ โบลโซนารู แห่งบราซิล ในวันพุธ (22 ก.ค.) มีผลตรวจออกมาเป็นบวกในการตรวจรอบที่ 3 ราวๆ 2 สัปดาห์หลังพบว่าติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ ในขณะที่วันเดียวกันนั้น ยอดติดเชื้อสะสมทั่วโลก พุ่งเกิน 15 ล้านคน เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ถ้อยแถลงของสำนักงานเลขานุการกระทรวงสื่อสารบราซิล ระบุว่า “การตรวจเชื้อประธานาธิบดีที่ดำเนินการเมื่อวานนี้ (วันที่ 21 กรกฎาคม) แสดงผลออกมาเป็นบวก ท่านประธานาธิบดียังแข็งแรงดี และอยู่ภายใต้การดูแลของคณะแพทย์ประธานาธิบดี”
โบลโซนารู ให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าวซีเอ็นเอ็นประจำบราซิลก่อนหน้านี้ว่า เขาทำงานในลักษณะกึ่งแยกตัวจากบ้านพักประธานาธิบดีมาตั้งแต่วันที่ 7 กรกฎาคม หรือเมื่อครั้งที่เขาแถลงเป็นครั้งแรกว่าตนเองมีผลตรวจโควิด-19 ออกมาเป็นบวก
เบื้องต้น โบลโซนารู บอกว่าเขามีไข้เล็กๆ น้อยๆ แต่ไม่มีอาการรุนแรงใดๆ และในฐานะผู้สนับสนุนไฮดรอกซีคลอโรควิน ยาต้านมาลาเรียซึ่งตกเป็นประเด็นโต้เถียงมาช้านาน โบลโซนารู ประกาศว่า เขาใช้ยานี้กับยาปฏิชีวนะแอซิโทรไมซิน (Azithromycin) รักษาอาการป่วย แม้จะยังไม่มียาตัวใดได้รับการพิสูจน์ว่ามีประสิทธภาพในการต่อต้านโคโรนาไวรัสก็ตาม
ประธานาธิบดีบราซิลเชื่อว่ายาตัวนี้ช่วยให้เขาหายป่วย
ความเชื่อของ โบลโซนารู สวนทางกับความคิดเห็นของสมาคมโรคติดเชื้อแห่งบราซิล ซึ่งเผยแพร่รายงานเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เรียกร้องบุคลากรด้านการแพทย์หยุดใช้ยาไฮดรอกซีคลอโรควินรักษาผู้ป่วยไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ เนื่องจากพิสูจน์แล้วว่ามันไม่มีประสิทธิผลและอาจก่อผลข้างเคียง
ตั้งแต่บราซิลเริ่มเผชิญวิกฤตโรคระบาดใหม่ๆ ประธานาธิบดีหัวขวาจัดรายนี้ ก็ปฏิเสธความร้ายแรงของโควิด-19 มาตลอด โดยเย้ยว่าไม่ต่างอะไรกับ “ไข้หวัดเล็กน้อย” และยังตำหนิผู้ว่าการรัฐต่างๆ ที่ออกคำสั่งล็อกดาวน์ปิดเมือง
นอกจากนี้แล้ว บ่อยครั้งที่ โบลโซนารู เดินออกไปยังลานกว้างของทำเนียบประธานาธิบดี เพื่อพบปะกับบรรดาผู้สนับสนุน และเขายังคงทำแบบนั้น แม้กระทั่งหลังจากผลการตรวจโควิด-19 ของเขาออกมาเป็นบวกเมื่อช่วงต้นเดือน
เมื่อวันอังคาร (21 ก.ค.) เขาบอกกับฝูงชนที่มารวมตัวกัน ว่าเขาหวังว่าผลการตรวจล่าสุด ซึ่งเป็นหนที่ 3 นับตั้งแต่ติดเชื้อ จะออกมาเป็นลบ เพื่อเขาจะได้กลับมาทำงาน
ผลตรวจของประธานาธิบดีบราซิลถูกเผยแพร่ออกมา ในขณะที่สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ทั้งในบราซิลและทั่วโลกยังคงรุนแรง โดยจากการนับของสำนักข่าวรอยเตอร์ พบว่ายอดผู้ติดเชื้อทั่วโลกทะลุ 15 ล้านคน เป็นที่เรียบร้อยแล้วในวันพุธ (22 ก.ค.)
รอยเตอร์ระบุว่า การแพร่ระบาดของโควิด-19 ดูเหมือนจะทวีความรวดเร็วขึ้น ในขณะที่หลายประเทศยังคงมีความคิดเห็นแตกแยกเกี่ยวกับแนวทางรับมือกับวิกฤต ส่วนในสหรัฐฯ ชาติที่พบผู้ติดเชื้อมากที่สุดในโลก ด้วยจำนวน 3.91 ล้านคน ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ เตือนว่า “เคราะห์ร้าย ที่บางทีมันอาจเลวร้ายลงกว่านี้ ก่อนจะดีขึ้น”
ใน 5 อันดับแรกของโลกที่นอกเหนือจากสหรัฐฯนั้น รองลงไปคือ บราซิล, อินเดีย, รัสเซีย และแอฟริกาใต้ แต่จากการนับของรอยเตอร์พบว่าโควิด-19 กำลังแพร่ระบาดรวดเร็วที่สุดในทวีปอเมริกา ซึ่งมีผู้ติดเชื้อคิดเป็นสัดส่วนมากกว่าครึ่งของผู้ติดเชื้อทั้งหมดทั่วโลกและมีผู้เสียชีวิตราวๆครึ่งหนึ่งของผู้เสียชีวิตทั้งหมด
จากข้อมูลของรอยเตอร์ที่อ้างตัวเลขอย่างเป็นทางการของรัฐบาลประเทศต่างๆ พบว่า ทั่วโลกอัตราการพบผู้ติดเชื้อรายใหม่ไม่ส่งสัญญาณชะลอตัวลงแม้แต่น้อย
นับตั้งแต่มีรายงานพบผู้ติดเชื้อโควิด-19 เคสแรกที่เมืองอู่ฮั่น ประเทศจีนในช่วงต้นเดือนมกราคม มันใช้เวลาราว 15 สัปดาห์ในการพุ่งแตะระดับ 2 ล้านคน แต่หลังจากแตะระดับ 13 ล้านคนในวันที่ 13 กรกฎาคม มันใช้เวลาเพียงแค่ 8 วันในการแพร่เชื้อสู่คนทั่วโลก เกิน 15 ล้านคน
ยิ่งไปกว่านั้น บรรดาผู้เชี่ยวชาญด้านสาธารณสุขเน้นย้ำ เกือบแน่นอนว่า ข้อมูลอย่างเป็นทางการเกือบทั้งหมด ทั้งในแง่ผู้ติดเชื้อและเสียชีวิตนั้น เป็นตัวเลขที่รายงานต่ำกว่าความเป็นจริง โดยเฉพาะในประเทศที่ต่างๆที่การตรวจเชื้อทำได้อย่างจำกัด
จากข้อมูลขององค์การอนามัยโลกพบว่า ด้วยจำนวนผู้ติดเชื้ออย่างเป็นทางการอยู่ที่ 15,009,213 คน ถือว่ามากกว่าจำนวนผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่ที่มีอาการรุนแรงในแต่ละปีอย่างน้อย 3 เท่า ส่วนจำนวนผู้เสียชีวิตที่มากกว่า 616,000 คน อยู่ในระดับเดียวกับจำนวนผู้เสียชีวิตสูงสุดทั่วโลกต่อปี จากไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาล