เอเจนซีส์ – ประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ ที่ในเวลานี้จากโพลล่าสุดมีคะแนนตามหลังคู่แข่ง โจ ไบเดน อยู่ 15% ปฎิเสธที่จะแสดงการยอมรับผลการเลือกตั้งหากแพ้ในการสัมภาษณ์ล่าสุดทางสถานีโทรทัศน์ฟ็อกซ์นิวส์วันอาทิตย์(19 ก.ค)
หนังสือพิมพ์เดอะการ์เดียน สื่ออังกฤษรายงานเมื่อวานนี้(19 ก.ค)ว่า อ้างอิงจากโพลสำรวจความนิยมหลักที่ออกมาในวันอาทิตย์(19) พบว่า อดีตรองประธานาธิบดีสหรัฐฯจากพรรคเดโมแครต "โจ ไบเดน" มีคะแนนนำผู้นำสหรัฐฯอยู่ทั่วประเทศที่ 15% และยังขึ้นนำ 20% ในคำถามต่อประชาชนชาวอเมริกันในการที่จะให้ใครในการรับมือวิกฤตโรคโควิด-19 ระบาด
และในโพลสำรวจของเอบีซี นิวส์/หนังสือพิมพ์วอชิงตันโพสต์พบว่า ไบเดนขึ้นนำ 2 จุดในเดือนมีนาคมและ 10 จุดในเดือนพฤษภาคม และในเวลานี้ผู้ที่ตอบแบบสอบถามถูกถามว่าจะหวตใครในการเลือกตั้งเดือนพฤศจิกายน พบไบเดนนำอยู่ 11%
วันอาทิตย์(19)สถานีโทรทัศน์ฟ็อกซ์นิวสยังได้เปิดเผยผลสำรวจความนิยมเช่นกัน และไบเดนมีคะแนนนำในด้านการจัดการไวรัสโคโรนาระบาด และโดยรวมพบว่าเขามีคะแนนขึ้นนำทั่วประเทศต่อประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์จากพรรครีพับลิกันอยู่ 8 จุด
สื่ออังกฤษชี้ว่า ในการให้สัมภาษณ์ที่ออกอากาศเมื่อวานนี้(19)ของสถานีโทรทัศน์ฟ็อกซ์นิวส์ในรายการของผู้จัด คริส วอลเลซ (Chris Wallace) ที่ถูกบันทึกเทปไว้ตั้งแต่วันศุกร์(17)ในทำเนียบขาว ผู้นำสหรัฐฯปฎิเสธที่จะให้การผูกมัดว่าจะยอมรับผลการเลือกตั้งหากตัวเองเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ในเดือนพฤศจิกายน โดยเขากล่าวว่า
“ผมไม่ได้กำลังจะแพ้เพราะพวกนี้เป็นโพลปลอม” ทรัมป์กล่าว พร้อมกับปฎิเสธที่จะยอมรับผลการเลือกตั้งหากว่าไบเดนเป็นฝ่ายมีชัย
และเขากล่าวต่อว่า “ผมต้องได้เห็นก่อน” และเสริมอีกว่า “ผมต้องได้เห็นก่อน ไม่ ผมจะยังไม่กล่าวยอมรับออกมา ผมจะยังไม่กล่าวปฎิเสธออกมา และผมไม่ได้กล่าวสิ่งใดในครั้งสุดท้ายด้วย”
ทั้งนี้เมื่อวันเสาร์(18) หนังสือพิมพ์วอชิงตันโพสต์และหนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทม์สต่างพร้อมใจรายงานข่าวทำเนียบขาวพยายามกำลังพยายามที่จะปิดกั้นงบสำหรับการตรวจไวรัสโควิด-19 และการติดตามสำหรับศูนย์การควบคุมโรคและการป้องกันสหรัฐฯ CDC สถาบันสุขภาพแห่งชาติสหรัฐฯ (National Institutes of Health) มลรัฐ และความพยายามของเพนตากอนในการแก้วิกฤตไวรัสโคโรนาในต่างแดน
ทรัมป์ในวันอาทิตย์(19)ได้กล่าวกับวอลเลซว่า “เขามีความรับผิดชอบเสมอต่อทุกสิ่ง” โดยชี้ไปถึงวิกฤตการระบาดโควิด-19 ขณะที่ทีมหาเสียงของไบเดนได้ออกมาชี้ว่า ผู้นำสหรัฐฯกำลังหันหลังให้กับความรับผิดชอบที่มากสุดต่อประชาชนชาวสหรัฐฯเป็นเพราะเขาไม่ต้องการที่จะถูกทำให้ไขว้เขวจากวิกฤตภัยทางสาธารณสุขที่ร้ายแรงมากที่สุดในรอบ 100 ปี “นี่ถือเป็นสิ่งที่ไม่มีสติสัมปชัญญะโดยสิ้นเชิง” ทีมหาเสียงไบเดนออกมาวิพากษ์วิจารณ์
อย่างไรก็ตาม ผู้นำสหรัฐฯกล่าวว่า เขาอาจจะใช้อำนาจประธานาธิบดีสหรัฐฯในการวีโต้แพ็กเกจช่วยเหลือสำหรับอเมริกันว่างงานและธุรกิจขนาดเล็กหากว่าไม่มีการลดภาษีเงินเดือน(payroll tax cut)รวมอยู่ในนั้น
ซึ่งภาษีเงินเดือนนั้นส่วนหนึ่งที่หักได้จากเงินเดือนหรือค่าจ้าง และอีกส่วนจากนายจ้าง รัฐบาลหรือส่วนการปกครองท้องถิ่นเก็บเงิน (ภาษี) ส่วนนี้เพื่อเป็นค่าสวัสดิการสังคมสงเคราะห์ต่างๆ หรือใช้จ่ายขณะว่างงาน เป็นต้น
และความเคลื่อนไหวนี้จะกระทบเป็นอันมากต่อระบบโซเชียล ซีคิวริตี หรือระบบประกันสังคมของพลเมืองสหรัฐฯ และโครงการสำคัญอื่นๆ
วิกฤตโรคโควิด-19ในสหรัฐฯยังคงร้ายแรง มีจำนวนผู้ติดเชื้อรวมไม่ต่ำกว่า 3.7 ล้านคนในอัตราการเพิ่มเคสใหม่ 70,000 ราย/วัน และมีชาวอเมริกันเสียชีวิตไปแล้วมากกว่า 140,000 รายล่าสุด เดอะการ์เดียนชี้
พบว่าไบเดนนำทรัมป์ถึง 9 จุดในความไว้วางใจในการรับมือวิกฤตไวรัสโคโรนา และตามหลังไล่จี้ทรัมป์ในคำถามเรื่องเศรษฐกิจของโพลเอบีซีนิวส์/วอชิงตันโพสต์
ซึ่งในการให้สัมภาษณ์ทรัมป์ยังกล่าวหาไบเดนว่าให้การสนับสนุนข้อเรียกร้องจากผู้ประท้วงแบล็กไลฟ์แมทเทอร์ที่ต้องการยกเลิกให้งบกับตำรวจ แต่ถูกผู้จัดออกมาชี้ว่า ไม่เป็นความจริง
นอกจากนี้เขายังอ้างต่อผู้จัดว่าตัวเองยังคงมีความสัมพันธ์อันดีกับ ดร. แอนโธนี เฟาซี (Dr Anthony Fauci)ผู้เชี่ยวชาญระบาดวิทยาและเป็นหนึ่งในสมาชิกทีมรับมือโควิด-19ของทำเนียบขาว ซึ่งก่อนหน้ามีรายงานว่า เฟาซีถูกปิดกั้นในการออกโทรทัศน์และไม่ได้รับอนุญาตในการรายงานสรุปต่อประธานาธิบดีสหรัฐฯมานานหลายเดือน
ทรัมป์กล่าวว่า “ผมเพิ่งคุยกับเขาเมื่อวานนี้เป็นเวลานาน” และเสริมต่อว่า “ผมมีความสัมพันธ์ที่ดีกับดร.เฟาซี” แต่อย่างไรก็ตามผู้นำสหรัฐฯวิจารณ์เฟาซีซึ่งเคยทำงานให้กับประธานาธิบดีสหรัฐฯมาแล้วถึง 6 คนนับตั้งแต่ปี 1984 และกลายเป็นบุคคลที่สาธารณะให้ความไว้วางใจในการรับมือวิกฤตไวรัสโคโรนาในเวลานี้ว่า “เขาเป็นพวกชอบทำให้ผู้คนตื่นตกใจ”