xs
xsm
sm
md
lg

คอลัมน์นอกหน้าต่าง: เหตุกราดยิงทารกแบเบาะในสหรัฐฯ กับ โรคระบาดโควิด-19

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


เจ้าหน้าที่ตรวจสอบสถานที่เกิดเหตุยิงกราดในเมืองชิคาโก เมื่อวันที่ 5 ก.ค. ซึ่งมีผู้เสียชีวิตไปถึงสิบกว่าคน  คนหนึ่งในจำนวนนี้คือ นาตาลี วอลเลซ เด็กหญิง 7 ขวบ ซึ่งกำลังอยู่ในงานปาร์ตี้ของครอบครัว
ทารกชายวัยแค่ 5 เดือนผู้หนึ่ง ถูกกระสุนนัดหนึ่งเข้าที่แถวๆ ศีรษะในเหตุการณ์คนร้ายขับรถยิงกราดใส่ ซึ่งเกิดขึ้นในเมืองชิคาโกเมื่อวันพฤหัสบดี (16 ก.ค.) ที่ผ่านมา กลายเป็นเหยื่ออายุน้อยที่สุดเท่าที่เคยปรากฏของความรุนแรงจากการใช้อาวุธปืน ซึ่งกำลังกระหน่ำใส่บรรดานครใหญ่ในสหรัฐฯ โดยที่เมืองเหล่านี้ก็อยู่ในอาการโซซัดโซเซอยู่แล้วจากโรคระบาดใหญ่ไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่

หนูน้อยคนนี้อยู่ในอ้อมแขนของ 1 ในชายวัยเยาว์จำนวน 2 คน ซึ่งกำลังอยู่ที่ย่าน “โอลด์ทาวน์” ของชิคาโก เมื่อตอนพวกคนร้ายขับรถเข้ามา และเปิดฉากยิงกระหน่ำ ทำให้ชายทั้งสองได้รับบาดเจ็บเช่นกัน

“หนูน้อยคนนี้มีอาการเสถียรแล้วจากการบาดเจ็บเพราะถูกยิงถากๆ ที่บริเวณขมับ” อีริค คาร์เตอร์ รองผู้บังคับการตำรวจนครชิคาโกแถลงในคืนวันพฤหัสบดี (16) ที่บริเวณด้านนอกของโรงพยาบาลลูรี ชิลเดรนส์ ฮอสพิตอล

“มันเป็นเรื่องเศร้าสะเทือนใจมาก” คาร์เตอร์กล่าว “นี่ไม่ใช่เรื่องปกติสามัญเลยไม่ว่าสำหรับใคร ไม่ว่ามันจะเป็นชิคาโกหรือเป็นนครอื่นๆ ใดๆ”

อเมริกาฤดูร้อนนี้เกิดการยิงกันหลายพันราย

การกราดยิง-การยิงใส่กัน กำลังกลายเป็นวิถีปกติที่น่าเศร้าสะเทือนใจไปแล้วตลอดทั่วทั้งสหรัฐฯในฤดูร้อนนี้ (ในสหรัฐฯ ฤดูร้อนตามประเพณีที่ยึดถือกันจะอยู่ในช่วงระหว่างปลายเดือนพฤษภาคมถึงต้นเดือนกันยายน) มีผู้ถูกสังหารไปเป็นร้อยๆ รวมทั้งเด็กๆ จำนวนหลายสิบคน ส่วนผู้ที่ได้รับบาดเจ็บมีจำนวนหลายพันราย

เมื่อช่วงท้ายเดือนมิถุนายน เด็กน้อยอายุ 1 ขวบสิ้นชีวิตส่วนมารดาของเขาได้รับบาดเจ็บในเหตุการณ์คนร้ายขับรถรี่เข้ามากราดยิงในเมืองชิคาโก

ในนครนิวยอร์กวันที่ 12 กรกฎาคม แดเวลล์ การ์เนอร์ จูเนียร์ ที่มีอายุแค่ปีเดียว ถูกสังหารคารถเข็นของหนูน้อย โดยกลุ่มมือปืนซึ่งเที่ยวไล่ยิงผู้คนที่ออกมาหุงหาทำอาหารกันนอกบ้านช่วงเย็นวันอาทิตย์ในย่านบรูคลิน ทำให้มีชายอีก 2 คนได้รับบาดเจ็บ

เหตุการณ์กราดยิงเหล่านี้มีสาเหตุที่มาตลอดจนปัจจัยที่เป็นตัวโหมกระพือหลายอย่างหลายประการ

ทั้งจากความยากลำบากทางสังคมและทางเศรษฐกิจของช่วงโรคระบาดใหญ่โควิด-19, การที่ตำรวจพากันถอยฉากลดบทบาทหลังถูกรณรงค์โจมตีหนักในเรื่องการใช้อำนาจอย่างมิชอบต่อชาวอเมริกันเชื้อสายแอฟริกัน, อากาศที่ร้อนอ้าวของฤดูร้อนซึ่งเชิญชวนให้ผู้คนออกมาเตร็ดเตร่กันตามท้องถนน, รวมทั้งการตามล้างแค้นของพวกแก๊งต่างๆ โดยที่มีสื่อสังคมเป็นตัวสุมไฟเติมเชื้อเพลิง

ตามตัวเลขของหนังสือพิมพ์ ชิคาโก ทรีบูน ในปีนี้นับจนถึงวันที่ 13 กรกฎาคม นครที่มีประชากรมากที่สุดเป็นอันดับ 3 ของสหรัฐฯแห่งนี้ มีผู้ที่ถูกยิงรวมแล้ว 1,901 คน พุ่งพรวดจาก 550 คนเมื่อ 1 ปีก่อน ในจำนวนนี้มีผู้เสียชีวิตไป 373 คน เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 97 คน

สำหรับในเมืองนิวยอร์ก มีผู้ที่ถูกยิง 795 คนในปีนี้นับจนถึงวันที่ 13 กรกฎาคม โดยมีผู้เสียชีวิตกว่า 200 คน ซึ่งก็สูงขึ้นมากจากปี 2019

โรคระบาดของการกราดยิงเช่นนี้ ยังเกิดเพิ่มขึ้นมากในนครแห่งอื่นๆ ของสหรัฐฯ โดยที่ ฟิลาเดลเฟีย, อินเดียแนโพลิส, แอตแลนตา, ลอสแองเจลิส, และ บัลติมอร์ จัดอยู่ในกลุ่มซึ่งเลวร้ายที่สุด ยิ่งในเดือนนี้ด้วยแล้ว เหตุเช่นนี้มีแต่กำลังเร่งตัวเพิ่มทวีขึ้น

ช่วงวันหยุดยาวเนื่องในวันชาติอเมริกัน 4 กรกฎาคม ได้เกิดเหตุยิงกราดขึ้นมาหลายสิบครั้งตลอดทั่วประเทศ บ่อยทีเดียวที่พวกคนร้ายจะยิงสุ่มเข้าไปกลางกลุ่มผู้คนซึ่งกำลังเข้าร่วมงานปาร์ตี้และงานเลี้ยงบาร์บีคิวที่จัดกันขึ้นตามท้องถนน

ความคับแค้น, การเย้ยเยาะกันทางสื่อสังคม


ผู้ก่อเหตุร้ายและเหยื่อของการกราดยิงเหล่านี้เกือบทั้งหมดเป็นคนหนุ่มอเมริกันเชื้อสายแอฟริกัน บ่อยครั้งทีเดียวเป็นสมาชิกของกลุ่มอันธพาลเล็กๆ หรือแก๊งมิจฉาชีพจิ๋วๆ ที่มีความขุ่นข้องหมองใจกันเป็นส่วนตัว และเป็นศัตรูกันในเรื่องอาณาเขตขายยาเสพติด

ชิคาโกนั้นมีกลุ่มทำนองนี้เป็นร้อยๆ กลุ่ม ในแต่ละกลุ่มบางครั้งมีสมาชิกแค่ 5 ถึง 10 คน ตำรวจบอกว่านี่เป็นเหตุผลทำให้เกือบเป็นไปไม่ได้เลยที่จะคอยเฝ้าติดตามการข่มขู่คุกคามกัน ตลอดจนการหาทางให้เกิดการหย่าศึกระหว่างกลุ่ม-แก๊ง

การเย้ยเยาะเหน็บแนมกันและการยั่วยุท้าทายใส่กันผ่านแอปฯสื่อสังคม “สแนปแชต” เป็นตัวขับดันให้เกิดเหตุยิงกันจำนวนมาก กลุ่ม-แก๊งเหล่านี้ต่างคนต่างทำวิดีโอฮิปฮอปของพวกตนเองออกมาเผยแพร่ โดยมีเนื้อหาเป็นการข่มขู่คุกคามใส่กลุ่ม-แก๊งอื่นๆ ซึ่งบ่อยครั้งบานปลายจนเกิดเป็นเหตุลุยใส่กันถึงบาดเจ็บล้มตาย ศิษยาภิบาล คอรีย์ บรูคส์ กล่าว

บรูคส์ ซึ่งเป็นผู้ดูแลชาวคริสต์โปรเตสแตนท์ในชิคาโก และนักเทศน์นักพูดสร้างกำลังใจ ที่ทำงานร่วมกับชุมชนต่างๆ ของนครแห่งนี้ เพื่อลดทอนผ่อนคลายความตึงเครียดระหว่างกลุ่มแก๊งต่างๆ บอกว่าเหตุยิงกันที่เกิดขึ้นมา บางครั้งกระทั่งไม่ได้เกี่ยวข้องกับเรื่องยาเสพติดด้วยซ้ำ แต่เป็นการแก้แค้นเอาคืนกันเป็นการส่วนตัว

“สื่อสังคมมีบทบาทมากมายในเรื่องนี้ ... พวกเขายังอายุน้อยเหลือเกิน พวกเขายังไม่ได้เคยเรียนรู้ถึงวิธีการในการแก้ไขความขัดแย้งกันเลย” เขากล่าว

คริสโตเฟอร์ เฮอร์แมนน์ ซึ่งเป็นอาจารย์อยู่ที่วิทยาลัยกระบวนการยุติธรรมทางอาญา จอห์น เจย์ (John Jay College of Criminal Justice) ในนิวยอร์ก อีกทั้งเคยเป็นนักวิเคราะห์ของสำนักงานตำรวจมาก่อน กล่าวเสริมว่า การเพิ่มขึ้นของเหตุกราดยิงนี้น่าจะมีส่วนมาจาก “ความรุนแรงเพื่อแก้แค้นเอาคืนกัน โดยที่สื่อสังคมเป็นตัวที่กระพือเรื่องนี้ให้รุนแรงยิ่งขึ้น”

โปสเตอร์บนรั้วบ้านหลังหนึ่งในย่านเซาท์ออสติน ของเมืองชิคาโก เพื่อรำลึกถึง นาตาลี วอลเลซ เด็กหญิงวัย 7 ปีซึ่งถูกยิงเสียชีวิตในเหตุกราดยิง ขณะเธอกับครอบครัวของเธอเฉลิมฉลองเทศกาลวันชาติสหรัฐฯ 4 กรกฎาคม
ฤดูร้อนแห่งโควิด-19

ตามประวัติศาสตร์ที่เป็นมาในอดีต ช่วงเวลาฤดูร้อนมักเกิดเหตุยิงกราดกันมากกว่าช่วงอื่นๆ เนื่องจากผู้คนพากันออกมาจากห้องพักอพาร์ตเมนต์ และเตร็ดเตร่กันอยู่ตามท้องถนนเพื่อเข้าร่วมการชุมนุมและงานปาร์ตี้ตอนดึกๆ ในฐานะวิธีการในการต่อสู้เอาชนะอากาศอันร้อนรุ่ม

โควิด-19 ยิ่งทำให้ความต้องการออกไปข้างนอกบ้านเพิ่มมากขึ้นอีก หลังจากที่มีการประกาศล็อกดาวน์ทำให้ต้องเก็บตัวเองอยู่แต่ในที่พักมาหลายเดือน การลดผ่อนผ่อนคลายในเดือนพฤษภาคมและมิถุนายน จึงทำให้ชาวเมืองทั้งหลายพากันออกมาทำอะไรนอกบ้านกันเยอะแยะมากมายเป็นพิเศษ

“มันเหมือนกับเป็นความรุนแรงที่ยังตกค้างคาอยู่” เป็นความบาดหมางอาฆาตต่างๆ ที่ถูกกดเอาไว้ชั่วคราวเนื่องจากมาตรการล็อกดาวน์ เฮอร์แมนน์อธิบาย “มาถึงตอนนี้ เราจึงกำลังได้เห็นสิ่งที่เป็นผลลัพธ์แบบทบทวีคูณ”

ไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ยังเป็นการเพิ่มแรงบีบคั้นทางการเงินใส่พวกแก๊งต่างๆ ตลอดจนครอบครัวของพวกเขา ในเมื่อต้องตกงานและรายได้ก็เหือดแห้ง

“เราไม่ได้มีเศรษฐกิจที่มีเสถียรภาพอยู่แล้วในชุมชนต่างๆ ของเรา ดังนั้น เมื่อคุณเพิ่มโควิดเข้าไปอีก จึงมีความหงุดหงิดไม่พอใจสูงขึ้นอีก” บรูคส์กล่าว

ตำรวจถอยห่างหลบฉาก

กิล มอนโรส ศิษยาภิบาลย่านบรูคลิน กล่าวเพิ่มเติมว่า ปัจจัยอีกประการหนึ่งได้แก่การที่ พวกตำรวจพากันล่าถอยภายหลังเกิดการประท้วงอย่างใหญ่โตในเรื่องที่ผู้รักษากฎหมายใช้ความทารุณโหดเหี้ยมต่อคนผิวสี

มอนโรส ซึ่งกลุ่มผู้สอนศาสนาที่เรียกชื่อว่า “ทีมพระเจ้า” ของเขา เป็นผู้นำของความพยายามในการหยุดยั้งความรุนแรงตามท้องถนนในพื้นที่แฟลตบุชของบรูคลิน บอกว่า ตำรวจมีท่าทีเงียบเชียบเรียบร้อยขึ้นมากในการสืบสวนสอบสวนพฤติการณ์น่าสงสัย และปรากฏตัวน้อยลงไปในเวลาค่ำคืน

“ตำรวจกับชุมชนดูเหมือนกับกำลังทำสงครามกับอีกฝ่ายหนึ่ง” มอนโรส บอก

นอกจากนั้น ตำรวจยังกำลังได้รับผลกระทบจากการถูกตัดงบประมาณสืบเนื่องจากไวรัสโคโรนาสร้างความเสียหายให้แก่เศรษฐกิจของเมือง เฮอรแมนน์ ชี้

เขายังวิพากษ์วิจารณ์เรื่องที่นายกเทศมนตรีนครนิวยอร์กสั่งยุบเลิกหน่วยตำรวจพิเศษต่อต้านอาชญากรรม ซึ่งในอดีตมีผลงานมากมายในการสกัดกั้นไม่ให้อาวุธปืนโผล่ออกมาตามท้องถนน

“ปืนคือปัญหา” เขาบอก “เรามีปืนจำนวนมากมายมหาศาลจนน่าหัวเราะเยาะกันทีเดียวในสหรัฐอเมริกา”

(เก็บความจากเรื่อง
Snapchat grudges, COVID-19 pressures drive US shooting epidemic ของสำนักข่าวเอเอฟพี)
กำลังโหลดความคิดเห็น