รอยเตอร์ – รัฐบาลญี่ปุ่นเรียกร้องสหรัฐฯ ชี้แจงกรณีพบการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ในฐานทัพนาวิกโยธินบนเกาะโอกินาวา ซึ่งสร้างความวิตกกังวลและจุดชนวนความไม่พอใจต่อประชาชนในพื้นที่ เจ้าหน้าที่ระดับสูงของญี่ปุ่นยืนยันวันนี้ (13 ก.ค.)
ทางการโอกินาวายืนยันพบผู้ติดเชื้อโควิด-19 แล้วไม่ต่ำกว่า 62 รายตั้งแต่วันที่ 7-12 ก.ค. โดยแบ่งออกเป็นผู้ติดเชื้อ 39 รายในฐานทัพอากาศฟูเตนมะ, 22 รายที่ฐานทัพแคมป์แฮนเซน และอีก 1 รายฐานทัพแคมป์คินเซอร์
“เราจะมีการร่วมมือกันอย่างเหมาะสมในประเด็นนี้” โยชิฮิเดะ สุงะ เลขาธิการคณะรัฐมนตรีญี่ปุ่น ระบุในงานแถลงข่าววันนี้ (13) พร้อมยืนยันว่า “ญี่ปุ่นและสหรัฐฯ มีการแชร์ข้อมูลว่าทหารที่ติดเชื้อมีประวัติไปทำกิจกรรมอะไรที่ไหนมาบ้าง”
ความเป็นพันธมิตรกับสหรัฐฯ นั้นสำคัญยิ่งต่อความมั่นคงของญี่ปุ่น ซึ่งเปิดทางให้อเมริกาใช้เกาะโอกินาวาเป็นที่ตั้งฐานทัพที่มีทหารประจำการอยู่ราวๆ ครึ่งหนึ่งจากทั้งหมด 50,000 นายภายใต้สนธิสัญญาความมั่นคงทวิภาคี
อย่างไรก็ตาม ชาวโอกินาวาเองกลับรู้สึกว่าฐานทัพเหล่านี้นำมาซึ่งปัญหาอาชญากรรมและอุบัติเหตุร้ายแรง และเรียกร้องให้สหรัฐฯ ถอนทหารบางส่วนหรือไม่ก็ย้ายฐานทัพออกไปจากโอกินาวาเสียเลย
เดนนี ทามากิ ผู้ว่าการจังหวัดโอกินาวา แถลงเมื่อสุดสัปดาห์ที่แล้วว่า “เป็นเรื่องน่าเสียใจอย่างยิ่ง” ที่พบผู้ติดเชื้อใหม่จำนวนมากในเวลาแค่ไม่กี่วัน และชาวบ้านในพื้นที่ก็รู้สึก “ช็อก” กับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น
“ผมอดไม่ได้ที่จะตั้งคำถามว่า กองทัพสหรัฐฯ มีมาตรการอย่างไรบ้างที่จะป้องกันการแพร่ระบาดของโควิด-19” เขากล่าว พร้อมอ้างถึงรายงานที่ว่ามีบุคลากรสหรัฐฯ บางคนออกจากฐานทัพไปร่วมงานปาร์ตี้ที่ชายหาด และยังไปเที่ยวผับบาร์ในคืนในวันที่ 4 ก.ค. ซึ่งตรงกับวันชาติอเมริกา
ล่าสุด นาวิกโยธินสหรัฐฯ ชี้แจงผ่านเฟซบุ๊กว่าจะไม่อนุญาตให้ทหารออกไปทำกิจกรรมนอกฐานทัพทุกแห่งในจังหวัดโอกินาวา เว้นแต่มีความจำเป็นเร่งด่วน เช่น มีนัดกับแพทย์ ซึ่งก็จะต้องได้รับอนุญาตจากผู้บังคับบัญชาก่อน
“คำสั่งเหล่านี้จะมีผลบังคับจนกว่าจะมีประกาศเพิ่มเติม... เราพยายามหลีกเลี่ยงการสัมผัสกับคนในพื้นที่ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ และกำลังเร่งติดตามบุคคลที่เคยใกล้ชิดกับผู้ป่วย” โฆษกกองทัพสหรัฐฯ ระบุ
ทั้งนี้ หากไม่นับรวมผู้ติดเชื้อในฐานทัพสหรัฐฯ จังหวัดโอกินาวาจะมียอดผู้ป่วยโควิด-19 สะสมเพียง 148 ราย และมีผู้เสียชีวิต 7 ราย ขณะที่ยอดผู้ติดเชื้อสะสมทั่วญี่ปุ่นเวลานี้เฉียด 22,000 คน และเสียชีวิตเกือบ 1,000 คน