รอยเตอร์ - บราซิลยืนยันยอดผู้ติดเชื้อสะสมไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ (โควิด-19) พุ่งเหนือ 1 ล้านคน เป็นชาติที่ 2 ของโลกต่อจากสหรัฐฯ ในวันศุกร์ (19 มิ.ย.) ส่วนตัวเลขผู้เสียชีวิตขยับเข้าใกล้ 50,000 คน ท่ามกลางอุณหภูมิทางการเมืองอันร้อนระอุในประเทศ และแนวโน้มทางเศรษฐกิจอันเลวร้าย
เจ้าหน้าที่ในบราซิลยืนยันพบผู้ติดเชื้อโควิด-19 รายแรกของประเทศ เมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ จากนั้นไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ก็แพร่ระบาดไปทั่วประเทศ กัดกร่อนแรงสนับสนุนที่มีต่อ ฌาอีร์ โบลโซนารู ประธานาธิบดีฝ่ายขวา และเพิ่มความหวั่นเกรงว่าเศรษฐกิจอาจถึงคราวล่มสลาย หลังเติบโตอย่างเปราะบางมานานหลายปี
กระทรวงสาธารณสุขบราซิลรายงานผู้ติดเชื้อสะสม 978,142 คน และเสียชีวิตสะสม 47,748 คนเมื่อวันพฤหัสบดี (18 มิ.ย.) ทำให้เคสผู้ติดเชื้อรวมทั้งสัปดาห์ เฉลี่ยแล้วอยู่ที่วันละราวๆ 25,000 คนและเสียชีวิตเฉลี่ยอยู่ที่วันละ 1,000 คน
ในวันศุกร์ (19 มิ.ย.) กระทรวงสาธารณสุขยืนยันว่า จำนวนผู้ติดเชื้อสะสมของประเทศผ่านหลักชัยอันน่าเศร้า 1 ล้านคนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และเป็นชาติที่ 2 ของโลกต่อจากสหรัฐฯ หลังพบผู้ติดเชื้อรายใหม่ 54,771 คน เป็นสถิติวันเดียวสูงสุดนับตั้งแต่มีการแพร่ระบาด ติดเชื้อสะสม 1,032,913 คน ส่วนยอดผู้เสียชีวิตสะสมอยู่ที่ 48,954 คน หลังพบผู้เสียชีวิตเพิ่ม 1,206 คน สูงสุดเป็นอันดับ 2 ของโลกเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม เป็นที่คาดว่าขอบเขตการแพร่ระบาดที่แท้จริงในบราซิล น่าจะสูงกว่าตัวเลขอย่างเป็นทางการค่อนข้างมาก เนื่องจากบรรดาผู้เชี่ยวชาญทั้งหลาย เชื่อว่า การปราศจากการตรวจโรคอย่างกว้างขวาง คือ อีกปัจจัยหนึ่งที่ซ้ำเติมความไม่แน่นอนต่างๆนานาเกี่ยวกับสถานการณ์การแพร่ระบาดในประเทศ
“จำนวน 1 ล้านคน น้อยว่าตัวเลขผู้ติดเชื้อที่แท้จริง เพราะว่ามีการรายงานน้อยกว่าความเป็นจริง 5 ถึง 10 เท่า” อเล็กซานเดร ไนเม บาร์โบซา ศาสตราจารย์ด้านการแพทย์ของมหาวิทยาลัยรัฐเซาเปาลู ระบุ “บางทีตัวเลขที่แท้จริงน่าจะไม่ต่ำกว่า 3 ล้านคน และอาจสูงสุดถึง 10 ล้านคน”
โควิด-19 เข้ามาในบราซิลผ่านกลุ่มนักท่องเที่ยวที่มีฐานะ ซึ่งเดินทางจากยุโรปมาท่องเที่ยวตามเมืองหลักๆ ทางภาคตะวันออกเฉียงใต้ ไม่ว่าจะเป็นเซาเปาลู หรือ รีโอเดจาเนโร จากนั้นมันก็แพร่กระจายไปทั่วประเทศ ครอบคลุม 82% ของเทศบาลนครทั้งหมดในบราซิล
โบลโซนารู เจ้าของฉายา “ทรัมป์แห่งเขตร้อน” ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวางต่อแนวทางรับมือกับวิกฤต ในขณะที่เวลานี้ประเทศยังคงไม่มีรัฐมนตรีสาธารณสุขถาวร หลังจากสละเก้าอี้ไป 2 คน นับตั้งแต่เดือนเมษายนที่ผ่านมา เนื่องจากขัดแย้งกับประธานาธิบดี
ประธานาธิบดีบราซิลรายนี้เพิกเฉยต่อกฎระเบียบเว้นระยะห่างทางสังคม โดยบอกว่า มาตรการนี้คือการฆ่าตำแหน่งงานซึ่งดูจะมีความอันตรายมากกว่าตัวไวรัสเองเสียอีก นอกจากนี้ เขายังสนับสนุนให้ใช้ยาต้านมาลาเรีย ไฮดร็อกซีคลอโรควิน และคลอโรควิน แม้มีหลักฐานเพียงเล็กน้อยว่ามันได้ผล
แรงกดดันจากโบลโซนารูและความอ่อนใจของประชาชน ต่อความไร้ประสิทธิภาพของภาครัฐ และมาตรการกักกันโรคของแต่ละท้องถิ่น ทำให้เหล่าผู้ว่าการรัฐและนายกเทศมนตรีทั้งหลายต้องจำใจเริ่มผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ทางการค้าและกิจกรรมทางเศรษฐกิจอื่นๆ
ความเคลื่อนไหวดังกล่าวมีขึ้นแม้บรรดาผู้เชี่ยวชาญด้านสาธารณสุขจะเตือนว่าการผ่อนปรนมาตรการล็อกดาวน์เร็วเกินไปอาจกัดเซาะความพยายามชะลอการแพร่ระบาด และจะผลักให้ตัวเลขผู้เสียชีวิตพุ่งทะยานยิ่งขึ้น