รอยเตอร์ - ยอดผู้เสียชีวิตจากไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ (โควิด-19) ในบราซิล แซงหน้า สหราชอาณาจักร สูงสุดเป็นอันดับ 2 ของโลกแล้วในวันศุกร์ (12 มิ.ย.) หลังตัวเลขผู้เสียชีวิตสะสมเพิ่มเป็น 41,828 คน แต่องค์การอนามัยโลกยังเชื่อระบบสาธารณสุขของประเทศแห่งนี้ยังทานแรงกดดันไหว
“ระบบสาธารณสุขจากข้อมูลที่เราเห็น คนไข้ยังไม่ล้นโรงพยาบาล” นายแพทย์ไมค์ ไรอัน ผู้อำนวยการบริหารฝ่ายโครงการฉุกเฉินขององค์การอนามัยโลกกล่าว โดยมีแค่บางพื้นที่ของบราซิลเท่านั้นที่มีผู้ป่วยในห้องไอซียูเกินกว่า 80% ของความจุตามโรงพยาบาลต่างๆ”
นายแพทย์ไรอัน บอกต่อว่า ชัดเจนว่าเมืองต่างๆ ที่มีพลเมืองหนาแน่น คือ จุดร้อนของบราซิล แต่ระบบสาธารณสุขโดยรวมของประเทศยังรับมือไหวกับจำนวนผู้ติดเชื้อสูงสุุดเป็นอันดับ 2 ของโลก
กระทรวงสาธารณสุขบราซิลรายงานในวันศุกร์ (12 มิ.ย.) พบผู้ติดเชื้อรายใหม่ 25,982 คน ในช่วง 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา ยอดผู้ติดเชื้อสะสมเพิ่มเป็น 828,810 และพบผู้เสียชีวิตเพิ่ม 909 คน ยอดผู้เสียชีวิตสะสม 41,828 คน สูงสุดเป็นอันดับ 2 ของโลกรองจากสหรัฐฯทั้งสองกรณี
“ข้อมูลที่เรามี ณ เวลานี้ ส่งเสริมมุมมองว่าระบบสาธารณสุขอยู่ภายใต้แรงกดดัน แต่ระบบยังคงรับมือกับจำนวนเคสผู้ติดเชื้อที่มีอาการรุนแรงได้” ไรอันระบุ
กระทรวงสาธารณสุขบราซิลรายงานมีผู้เสียชีวิตรายวันเกินกว่า 1,200 คน ตั้งแต่วันอังคาร (9 มิ.ย.) ตัวเลขที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ในขณะที่ประเทศแห่งนี้เคลื่อนไหวผ่อนคลายมาตรการกักกันโรคและกลับมาเปิดธุรกิจ ตามเสียงเรียกร้องของประธานาธิบดี ฌาอีร์ โบลโซนารู
ผู้นำฝ่ายขวารายนี้พยายามกลบกระแสความกังวลเกี่ยวกับความรุนแรงของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ โดยบอกว่า มันเป็นเพียงแค่ไข้หวัดเท่านั้น พร้อมกล่าวหารัฐบาลของรัฐต่างๆ โหมกระพือตัวเลขผู้ติดเชื้อและเสียชีวิตสูงเกินจริง เพื่อบ่อนทำลายเขา
ในคืนวันพฤหัสบดี (11 มิ.ย.) โบลโซนารู ยุผู้สนับสนุนของเขา ให้หาทางเข้าไปยังภายในโรงพยาบาลต่างๆ เพื่อถ่ายภาพว่าเตียงนอนในห้องไอซียูเต็มหรือไม่ แล้วส่งมอบภาพถ่ายเหล่านั้นให้ตำรวจหรือหน่วยข่าวกรองของบราซิล เพื่อจะได้ทำการสืบสวน
แม้ตัวเลขผผู้ติดเชื้อและเสียชีวิตรายวันยังคงสูงลิ่ว แต่พบเห็นบรรดานักชอปปิ้งบราซิลไหลบ่าพากันไปต่อแถวยาวเหยียดนานหลายชั่วโมง และรอคิวเข้าไปในห้างสรรพสินค้าต่างๆ ใน 2 เมืองใหญ่ที่สุดของประเทศ ได้แก่ เซาเปาลู และ รีโอเดจาเนโร ที่กลับมาเปิดบริการอีกครั้งในวันพฤหัสบดี (11 มิ.ย.) ต่อเนื่องจนถึงวันศุกร์ (12 เม.ย.) ทั้งที่ทั้ง 2 เมืองเป็นศูนย์กลางการแพร่ระบาด โดยรวมกันแล้วมีตัวเลขผู้เสียชีวิตคิดเป็น 42% ของผู้เสียชีวิตทั้งหมดทั่วประเทศ
ภายในห้าง พบเห็นผู้คนปฏิบัติตามกฎระเบียบด้านการเว้นระยะห่างทางสังคม และนักชอปปิ้งทั้งหมดสวมหน้ากากป้องกันโรค รวมถึงมีการวัดอุณหภูมิก่อนอนุญาตให้เข้าไปภายใน