เอเอฟพี - ประธานาธิบดี ฌาอีร์ โบลโซนารู แห่งบราซิล เมื่อวันอาทิตย์ (19 เม.ย.) ตามเวลาท้องถิ่น เข้าร่วมกับผู้ชุมนุมหลายร้อยคน ซึ่งรวมตัวกันอยู่ด้านนอกกองบัญชาการกองทัพในกรุงบราซิเลีย เพื่อประท้วงต่อต้านมาตรการล็อกดาวน์รับมือวิกฤตการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ (โควิด-19) ที่ประกาศบังคับใช้โดยเหล่าผู้ว่าการรัฐต่างๆ
ฝูงชนราว 600 คน เรียกร้องกองทัพเข้าแทรกแซงในการบริหารจัดการกับโรคระบาดใหญ่โควิด-19 และเรียกร้องให้ปิดตายรัฐสภา ทั้งนี้ ผู้ประท้วงบางส่วนถือป้ายข้อความพร้อมกับร้องตะโกนว่า “ทหารเข้าแทรกแซงร่วมกับโบลโซนารู”
ด้าน ประธานาธิบดี โบลโซนารู กล่าวปราศรัยกับผู้ชุมนุมจากบริเวณท้ายรถกระบะ ว่า “ผมมาอยู่ที่นี่ก็เพราะผมเชื่อในตัวพวกคุณ และพวกคุณมาอยู่ที่นี่ก็เพราะพวกคุณเชื่อในบราซิล” ปะธานาธิบดีกล่าว
โบลโซนารู อดีตผู้บัญชาการกองทัพ ออกมาวิพากษ์วิจารณ์อย่างต่อเนื่องต่อมาตรการล็อกดาวน์ที่บังคับใช้โดยผู้ว่าการรัฐต่างๆ ในนั้นรวมถึงผู้ว่าการรัฐเซาเปาลู และ รีโอเดจาเนโร เพื่อสกัดการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่
เมื่อวันศุกร์ (17 เม.ย.) โบลโซนารู สั่งปลดรัฐมนตรีสาธารณสุข ซึ่งมีความเห็นต่างกับเขาเกี่ยวกับแนวทางจัดการวิกฤตโควิด-19 โดยรัฐมนตรีสาธารณสุขสนับสนุนมาตรการล็อกดาวน์ แต่ทางโบลโซนารูบอกว่ามันกำลังก่อความเสียหายแก่เศรษฐกิจ
ในวันจันทร์ (20 เม.ย.) บราซิล ซึ่งมีประชากรมากกว่า 200 ล้านคน และเป็นชาติที่มีผู้ติดเชื้อโควิด-19 มากที่สุดในละตินอเมริกา รายงานพบผู้ติดเชื้อรายใหม่ 490 คน ตัวเลขผู้ติดเชื้อสะสม 39,144 คน ในนั้นเสียชีวิต 2,484 คน
ระหว่างการปราศรัย ประธานาธิบดีรายนี้ไม้ได้ตอบรับเสียงเรียกร้องของฝูงชนที่ต้องการให้กองทัพเข้าแทรกแซง หรือปิดรัฐสภา “คุณต้องสู้เพื่อประเทศของคุณ การไว้วางใจในตัวประธานาธิบดีเป็นสิ่งจำเป็น เพื่อที่เราสามารถรับประกันประชาธิปไตย และสิ่งทีเป็นที่รักยิ่งของเรา นั่นคือเสรีภาพ” โบลโซนารู กล่าว
ความเคลื่อนไหวประท้วงมีขึ้นหลังจากเมื่อวันศุกร์ (17 เม.ย.) รัฐเซาเปาลู และ รีโอเดจาเนโร ขยายมาตรการล็อกดาวน์ออกไป
ก่อนหน้านี้ เมื่อช่วงปลายเดือนมีนาคม โบลโซนารู ก็เคยออกมาเรียกร้องกลับมาใช้ชีวิตกันตามปกติ ภายหลังเมืองต่างๆ ของประเทศประกาศมาตรการล็อกดาวน์เพื่อยับยั้งการระบาดของไวรัส
ในครั้งนั้นทำให้ โบลโซนารู เผชิญเสียงวิจารณ์อย่างหนักที่ออกมาแสดงความห้าวหาญแบบไม่ดูตาม้าตาเรือ ซ้ำยังดูเบาวิกฤตสาธารณสุขครั้งนี้ว่าเป็นแค่ “ความเพ้อฝัน” และ “ไข้หวัดเล็กๆ น้อยๆ”