รอยเตอร์ - รัฐบาลมาเลเซียเตรียมผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ควบคุมโควิด-19 โดยจะอนุญาตให้ภาคธุรกิจส่วนใหญ่เปิดทำการได้ตามปกติในวันที่ 4 พ.ค. นายกรัฐมนตรี มูห์ยิดดิน ยัสซิน แถลงวันนี้ (1 พ.ค.)
นายกฯ เสือเหลืองแถลงผ่านสื่อโทรทัศน์ ว่า มาเลเซียพร้อมที่จะเริ่มฟื้นกิจกรรมทางเศรษฐกิจแบบควบคุมและระมัดระวัง แต่จะยังไม่อนุญาตให้เปิดธุรกิจที่มีการรวมคนหมู่มาก เช่น โรงภาพยนตร์และตลาดขายอาหารในเดือนรอมฎอน เป็นต้น ส่วนโรงเรียนและมหาวิทยาลัยต่างๆ ยังต้องปิดต่อไปอีกระยะหนึ่ง
มาเลเซียสั่งปิดธุรกิจที่ไม่มีความจำเป็นและสถานศึกษา รวมถึงสั่งห้ามประชาชนรวมตัวในที่สาธารณะและจำกัดการเดินทางตั้งแต่วันที่ 18 มี.ค. ที่ผ่านมา หลังยอดผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่พุ่งสูงขึ้นจนเป็นที่น่ากังวล
จากฐานข้อมูลของมหาวิทยาลัยจอห์น ฮอปกินส์ บ่ายวันนี้ (1 พ.ค.) ยอดผู้ติดเชื้อสะสมในมาเลเซียอยู่ที่ 6,002 ราย โดยจำนวนผู้ติดเชื้อรายวันได้ชะลอตัวลงอย่างต่อเนื่องในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา
“ตามคำแนะนำของกระทรวงสาธารณสุข ตลอดจนฐานข้อมูลที่รวบรวมได้ และมาตรการควบคุมโรคที่ดีที่สุดตามคำแนะนำขององค์การอนามัยโลก (WHO) รัฐบาลมาเลเซียจึงตัดสินใจที่จะเปิดเศรษฐกิจอย่างระมัดระวัง โดยจะยังคงบังคับใช้มาตรการที่คำนึงถึงมาตรฐานสุขภาพอย่างเข้มงวด” เช่น การสวมหน้ากากอนามัย, การเว้นระยะห่างทางสังคม (social distancing) และการส่งเสริมให้ประชาชนรักษาสุขอนามัยส่วนตัวในระดับสูง มูห์ยิดดิน ระบุ
กิจกรรมกีฬาที่มีผู้เข้าร่วมต่ำกว่า 10 คน เช่น การวิ่ง, แบดมินตัน และการปั่นจักรยาน จะได้รับอนุญาตให้กระทำได้ ส่วนร้านอาหารก็จะสามารถเปิดให้บริการตามปกติ โดยต้องมีการเว้นระยะห่างอย่างเข้มงวด
ทั้งนี้ มาเลเซียยังไม่มีการเปิดพรมแดน และยังไม่อนุญาตให้ประชาชนเดินทางข้ามรัฐ
นายกฯ มาเลเซีย ยอมรับว่า มาตรการจำกัดการเดินทางที่บังคับใช้มานานกว่า 6 สัปดาห์ ทำให้รัฐสูญเสียรายได้ไปมากถึง 63,000 ล้านริงกิต และคาดว่า จะสูญเสียอีก 35,000 ล้านริงกิต หากขยายเวลาล็อคดาวน์ต่อไปอีก 1 เดือน
ธนาคารกลางมาเลเซียประเมินเมื่อเดือน มี.ค. ว่า เศรษฐกิจแดนเสือเหลืองปีนี้จะเคลื่อนไหวอยู่ระหว่างการหดตัว 2% กับเติบโต 0.5% สืบเนื่องจากผลกระทบของโควิด-19 ซึ่งถือเป็นตัวเลขเศรษฐกิจที่เลวร้ายที่สุดสำหรับมาเลเซียในรอบกว่าทศวรรษ
รัฐบาลกัวลาลัมเปอร์ได้ออกแพกเกจกระตุ้นเศรษฐกิจมูลค่า 250,000 ล้านริงกิต ซึ่งรวมถึงการอัดฉีดเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ 25,000 ล้านริงกิต เพื่อช่วยพยุงเศรษฐกิจให้อยู่รอดจากพิษของโรคระบาดใหญ่ (pandemic)