รอยเตอร์ - ตำรวจอินเดียแจ้งข้อหาฆ่าคนตายโดยไม่เจตนา (culpable homicide) ต่อผู้นำมุสลิมซึ่งจัดกิจกรรมรวมตัวทางศาสนาเมื่อเดือน มี.ค. จนเป็นเหตุให้ยอดผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ในอินเดียพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว
ทางการอินเดียได้สั่งปิดสำนักงานใหญ่ของกลุ่ม ตับลีฆญะมาอะห์ (Tablighi Jamaat) ในกรุงนิวเดลี ขณะที่สาวกหลายพันคนทั้งจากอินโดนีเซีย, มาเลเซีย และ บังกลาเทศ ถูกนำเข้าสู่กระบวนการกักกันโรค หลังเดินทางมาเข้าร่วมกิจกรรมชุมนุมที่กรุงนิวเดลีเมื่อต้นเดือน มี.ค.
เบื้องต้นตำรวจได้แจ้งข้อหาฝ่าฝืนคำสั่งห้ามรวมตัวต่อ มูฮัมหมัด สะอัด กันดัลวี (Muhammad Saad Kandhalvi) ผู้นำกลุ่มตับลีฆญะมาอะห์ ทว่าต่อมาได้เพิ่มข้อหาฆ่าคนตายโดยไม่เจตนา ซึ่งมีโทษจำคุกสูงสุด 10 ปี
“ตำรวจเดลีได้แจ้งข้อหาต่อผู้นำกลุ่มตับลีฆ และเวลานี้ได้เพิ่มความผิดตามกฎหมายอาญามาตรา 304 เข้าไปอีก” ผู้บัญชาการตำรวจเดลี ระบุ
ตับลีฆญะมาอะห์เป็นหนึ่งในองค์กรเผยแผ่ศาสนาที่ใหญ่ที่สุดของมุสลิมนิกายสุหนี่ และมีสมาชิกใน 80 กว่าประเทศทั่วโลก โดยมุ่งส่งเสริมให้ชาวมุสลิมใช้ชีวิตอยู่ในหลักการอิสลามที่บริสุทธิ์
ทางการอินเดียระบุเมื่อต้นเดือนนี้ ว่า ผู้ติดเชื้อราว 1 ใน 3 จากเกือบ 3,000 คนที่พบในเวลานั้นล้วนเคยเข้าร่วมกิจกรรมของตับลีฆญะมาอะห์ หรือไม่ก็เคยสัมผัสใกล้ชิดกับบุคคลเหล่านั้น
อินเดียมีผู้ติดเชื้อสะสม 12,456 ราย เสียชีวิตแล้ว 423 ราย จากฐานข้อมูลของมหาวิทยาลัยจอห์น ฮอปกินส์ บ่ายวันนี้ (16)
ฝ่ายบริหารกรุงนิวเดลีแถลงเมื่อวันพุธ (15) ว่า ผู้ติดเชื้อ 1,080 จากทั้งหมด 1,561 รายในเมืองหลวงมีความเกี่ยวข้องกับกิจกรรมของกลุ่มตับลีฆ
คณะผู้บริหารตับลีฆออกมาชี้แจงว่า สาวกจำนวนมากที่เดินทางมายังสำนักงานใหญ่ในย่านนิซามุดดิน (Nizamuddin) ต้องร่อนเร่ไม่มีที่จะไป หลังรัฐบาลอินเดียประกาศคำสั่งล็อกดาวน์ 3 สัปดาห์ และทางศูนย์ได้ให้ที่พักพิงแก่คนเหล่านั้น
นักวิจารณ์บางคนออกมาเตือนรัฐบาลนายกรัฐมนตรี นเรนทรา โมดี ว่า ไม่ควรกระพือความขัดแย้งในชุมชนโดยการโยนความผิดทั้งหมดให้กับกลุ่มตับลีฆ
เจ้าหน้าที่อินเดียปฏิเสธข้อครหาเล่นงานชาวมุสลิมอย่างไม่เป็นธรรม และชี้ว่าที่ต้องลงโทษก็เพราะคนกลุ่มนี้ขาดความรับผิดชอบ และเพิกเฉยต่อมาตรการเว้นระยะห่างทางสังคม
กิจกรรมของตับลีฆญะมาอะห์ยังมีส่วนทำให้ยอดผู้ติดเชื้อในปากีสถานพุ่งสูงขึ้น ส่วนการจัดชุมนุมที่มัสยิดแห่งหนึ่งในมาเลเซียเมื่อปลายเดือน ก.พ. ก็ส่งผลจำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มสูงในหลายประเทศอาเซียน