รอยเตอร์ - ประธานาธิบดี ฮัสซัน รูฮานี แห่งอิหร่าน เอ่ยเตือนวันนี้ (8 เม.ย.) ว่ากองทุนการเงินระหว่างประเทศ หรือ ไอเอ็มเอฟ อาจถูกครหาว่า “เลือกปฏิบัติ” หากไม่อนุมัติแพกเกจเงินกู้ฉุกเฉิน 5,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อช่วยอิหร่านยับยั้งการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่
“ผมขอเรียกร้องให้องค์กรระหว่างประเทศทั้งหลายรักษาหน้าที่ของตัวเอง อิหร่านก็เป็นสมาชิกไอเอ็มเอฟ จึงไม่ควรจะมีการเลือกปฏิบัติในการปล่อยกู้” รูฮารี กล่าวระหว่างการประชุมคณะรัฐมนตรีซึ่งมีการถ่ายทอดสดทางโทรทัศน์
อับดุลนาเซอร์ เฮมมาติ ประธานธนาคารกลางอิหร่าน ได้ยื่นหนังสือถึงไอเอ็มเอฟเมื่อเดือน มี.ค. เพื่อขอรับเงินกู้จำนวน 5,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐจากโครงการ Rapid Financing Initiative ซึ่งเป็นโครงการของไอเอ็มเอฟที่ให้ความช่วยเหลือแก่ประเทศที่เผชิญวิกฤตการณ์ฉุกเฉิน เช่น ภัยธรรมชาติ เป็นต้น
เจ้าหน้าที่ไอเอ็มเอฟคนหนึ่งระบุว่า ทางกองทุนอยู่ระหว่างหารือกับเจ้าหน้าที่เตหะรานเพื่อให้เข้าใจถึงความจำเป็นเร่งด่วน ตลอดจนขั้นตอนกระบวนการต่างๆ ที่จะตอบสนองข้อเรียกร้องของอิหร่าน
การแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาในอิหร่านถือว่ารุนแรงที่สุดในภูมิภาคตะวันออกกลาง โดยมีตัวเลขผู้ติดเชื้อสะสมในวันนี้ (8) อยู่ที่ 62,589 ราย เสียชีวิตแล้ว 3,872 ราย
วิกฤตไวรัสยังเป็นการซ้ำเติมเศรษฐกิจอิหร่านที่ย่ำแย่อยู่แล้วเป็นทุนเดิมจากการถูกรัฐบาลประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ รื้อฟื้นมาตรการคว่ำบาตรในปี 2018
เตหะรานกล่าวโทษนโยบาย “กดดันขั้นสูงสุด” ของสหรัฐฯ ว่าเป็นสาเหตุทำให้ไม่สามารถรับมือการระบาดของไวรัสได้อย่างมีประสิทธิภาพเท่าที่ควร
“มาตรการคว่ำบาตรของสหรัฐฯ ถือได้ว่าเป็นการก่อการร้ายในทางเศรษฐกิจและการแพทย์... และยังละเมิดอนุสัญญาระหว่างประเทศ” รูฮานี กล่าว
อย่างไรก็ดี เจ้าหน้าที่อเมริกันออกมาโต้แย้งว่า มาตรการคว่ำบาตรไม่ได้ครอบคลุมถึงยาและอุปกรณ์ทางการแพทย์ และสหรัฐฯ ก็เคยเสนอให้ความช่วยเหลือแก่อิหร่านแล้ว ทว่าผู้นำอิหร่านกลับปฏิเสธน้ำใจ