เอเจนซีส์ - ผู้อำนวยการศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคของจีน (CDC) ชี้การส่งเสริมให้ประชาชนสวมหน้ากากอนามัยเวลาออกจากบ้านมีส่วนช่วยยับยั้งการแพร่กระจายของไวรัสโคโรนา สายพันธุ์ใหม่ ซึ่งการที่ประชาชนในสหรัฐฯ และยุโรปยังมองข้ามมาตรการง่ายๆ นี้ถือเป็น “ความผิดพลาดร้ายแรง” ที่ทำให้ยอดผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
หนังสือพิมพ์เซาท์ไชน่า มอร์นิงโพสต์ อ้างความเห็นจาก เกา ฟู (Gao Fu) ผู้อำนวยการ CDC ของจีนซึ่งได้ให้สัมภาษณ์กับนิตยสาร Science Magazine ว่า “ความผิดพลาดร้ายแรงของสหรัฐฯ และยุโรปในความเห็นของผมก็คือ การที่ประชาชนไม่นิยมสวมหน้ากากอนามัยกัน”
เกา อธิบายว่า ละอองฝอยจากระบบทางเดินหายใจของมนุษย์และการสัมผัสใกล้ชิดคือตัวการหลักในการแพร่เชื้อ “ละอองฝอยนี่มีบทบาทสำคัญมาก ดังนั้น พวกคุณต้องสวมหน้ากากอนามัย เพราะเวลาที่คุณพูดจะมีละอองฝอยออกจากปากคุณอยู่ตลอดเวลา”
เกา เสริมด้วยว่า คนบางคนอาจจะมีเชื้อไวรัสอยู่ในตัวโดยที่ไม่ป่วย หรือยังไม่แสดงอาการป่วย ดังนั้นหน้ากากอนามัยจึงช่วยป้องกันละอองฝอยจากคนเหล่านี้ซึ่งอาจทำให้เชื้อแพร่ไปสู่บุคคลอื่น
แม้สถานการณ์การระบาดในจีนจะนับว่าดีขึ้นมากแล้ว แต่ CDC จีนยังคงออกคำแนะนำเมื่อวันที่ 22 มี.ค. ให้ประชาชนสวมหน้ากากอนามัยต่อไปไม่ว่าจะอยู่ในออฟฟิศ ห้องประชุม ลิฟต์ หรือขณะใช้บริการขนส่งสาธารณะ แต่ไม่จำเป็นต้องสวมในบ้าน สถานที่เปิดโล่ง หรือในสภาพแวดล้อมที่มีอากาศถ่ายเทดีและไม่มีคนพลุกพล่าน
อย่างไรก็ตาม คำแนะนำนี้ออกจะสวนทางกับความเห็นขององค์การอนามัยโลก (WHO) ซึ่งระบุให้ผู้คนสวมใส่หน้ากากอนามัยก็ต่อเมื่อมีอาการไอหรือจาม หรือต้องดูแลใกล้ชิดผู้ที่ต้องสงสัยว่าติดเชื้อโควิด-19
ด้านกระทรวงสาธารณสุขสิงคโปร์ก็แนะนำประชาชนว่าไม่จำเป็นต้องสวมหน้ากากอนามัย เว้นแต่จะมีอาการไม่สบาย มีไข้ ไอ น้ำมูกไหล หรือเพิ่งจะหายจากอาการป่วยใหม่ๆ