นิวส์ดอทคอมออสเตรเลีย - นักศึกษาจีนคนหนึ่งเผยต้องใช้เงินเกือบ 20,000 ดอลลลาร์ออสเตรเลีย (ราว 410,000 บาท) เพื่อกลับมาเรียนให้ทันเวลา สืบเนื่องจากมาตรการแบนด้านการเดินทางของออสเตรเลีย โดยเธอเลือกใช้ไทยเป็นทางผ่าน ยอมถูกกักกันตัวแลกกับการได้รับอนุญาตให้เข้าสู่แดนจิงโจ้
คาเรน จี่ นักศึกษาด้านกฎหมายและพาณิชย์ของมหาวิทยาลัยซิดนีย์ เป็นหนึ่งในนักศึกษาจีนหลายพันคนที่ต้องตัดสินใจระหว่างพลาดการเรียนช่วงเปิดเทอม หรือเดินทางไปยังประเทศที่ 3 หลังจากรัฐบาลออสเตรเลียแถลงมาตรการแบนด้านการเดินทางเมื่อเดือนที่แล้ว
ในการให้สัมภาษณ์กับบีบีซี นางสาวจี่ เผยว่า สุดท้ายแล้วเธอไปจบลงที่การถูกกักกักโรคเป็นเวลา 16 วันในไทย พร้อมกับแม่ของเธอ ก่อนเดินทางเข้าสู่ออสเตรเตรีย “ฉันไม่อยากเชื่อเลย ทุกอย่างอยู่ในภาะวะตื่นตระหนก” เธอกล่าว “เราพวกนักศึกษานานาชาติ รู้สึกโกรธมาก เหล่านักศึกษานานาชาติรู้สึกเหมือนว่าพวกเราถูกทรยศ”
นางสาวจี่ เผยว่า เธอต้องยอมซื้อตั๋วในราค่าแพงเพื่อเดินทางกลับมาออสเตรเลีย แต่เที่ยวบินถูกยกเลิก “ฉันจึงรู้สึกโกรธและเป็นกังวล ดังนั้น ฉันจึงตัดสินใจบินไปประเทศที่ 3 เพื่อเข้าสู่ออสเตรเลีย ฉันยังคงรู้สึกเหนื่อยล้าอยู่เลย เพราะว่าฉันต้องใช้เวลาเดินทางนานหลายวัน และใช้เงินไปมากมายเพื่อให้ได้กลับมาอีกครั้ง”
มีนักเรียนและนักศึกษาจีนราว 260,000 คน ที่ลงทะเบียนเรียนในออสเตรเลีย ส่วนใหญ่แล้วเป็นนักศึกษาระดับมหาวิทยาลัย สามารถสร้างรายได้แก่ออสเตรเลียปีละ 12,000 ล้านดอลลาร์ออสเตรเลีย (250,000 ล้านบาท)
หากนักศึกษาที่ติดค้างอยู่ในจีนกลับไปออสเตรเลียไม่ทันวันลงทะเบียนเรียนในระดับมหาวิทยาลัย คาดหมายว่า มันจะก่อความเสียหายราว 1,200 ล้านดอลลาร์ออสเตรเลีย (25,000 ล้านบาท)
เรื่องราวนี้ถูกเผยแพร่ออกมาหลังจากปรากฏภาพถ่ายนักศึกษานานาชาติหลายคนอ้างว่ากำลังกักกันโรคตนเองในประเทศที่ 3 ระหว่างรอให้พ้นช่วงเวลาห้ามเดินทางเข้าประเทศ ในนั้นมีทั้งกำลังร่วมปาร์ตีอย่างสนุกสนานและออกไปดินเนอร์ตามสถานที่ต่างๆ
นิวส์ดอทคอมออสเตรเลีย รายงานว่า ภาพที่โพสต์บนสื่อสังคมอออนไลน์ พบเห็นนักศึกษาคนหนึ่งซึ่งมีแผนมุ่งหน้าสู่ซิดนีย์ กำลังอยู่บนชายหาดแห่งหนึ่งไนไทย พร้อมกับเพื่อนๆ อีก 4 คน, หญิงสาววัยรุ่นอีกคนกำลังชอปปิ้งอยู่ในห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ และนักศึกษาชาวจีนกำลังนั่งร่วมวงกับชาวบ้านท้องถิ่นในดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์
ภาพถ่ายดังกล่าวตอกย้ำให้เห็นถึงความบกพร่องของมาตรการแบนด้านการเดินทางของออสเตรลีย หลังนักศึกษาจีนคนหนึ่งของมหาวิทยาลัยควีนส์แลนด์ มีผลตรวจโคโรนาไวรัสสายพันธุ์ใหม่ออกมาเป็นบวกเมื่อวันอังคาร (3 มี.ค.) หลังอยู่ในดูไบเป็นเวลา 14 วัน ขณะที่เจ้าหน้าที่ดูไบสงสัยว่าเขาอาจมีการติดต่อใกล้ชิดกับนักศึกษาคนอื่นๆ ด้วย
เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา ออสเตรเลียประกาศบังคับใช้นโยบายห้ามพลเมืองต่างชาติที่มีประวัติเดินทางมาจากจีนแผ่นดินใหญ่เข้าประเทศ เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่
นับตั้งแต่วันที่ 2 กุมภาพันธ์ มีนักเรียนและนักศึกษามหาวิทยาลัยของจีนมากกว่า 25,000 เดินทางกลับสู่ออสเตรเลีย ซึ่งทั้งหมดต้องเข้าสู่กระบวนการการกักกันโรค “ผลลัพธ์ถือว่าประสบความสำเร็จอย่างมาก ไม่ใช่แค่สำหรับภาคมหาวิทยาลัยของเรา แต่ยังรวมถึงมุมมองด้านสาธารณสุขด้วย” ไมเคิล กูทรัม คณะกรรมการกองกำลังชายแดนออสเตรเลีย กล่าว
นอกจากนี้แล้ว กูทรัม ยังยกย่องพวกนักศึกษาจีนที่เดินทางไปประเทศที่ 3 เพื่อรอให้พ้นจากช่วงเวลาสังเกตอาการ 14 วัน “นักศึกษาจีนที่เดินทางไปประเทศอื่น ได้ทำในสิ่งที่พวกเราต้องการเห็นพวกเขาทำ พวกเขาออกจากจีนแผ่นดินใหญ่ไปยังประเทศที่โคโรนาไวรัสแพร่ระบาดน้อยหรือไม่มีการแพร่ระบาดเลย กักกันตนเองเป็นเวลา 2 สัปดาห์ ก่อนมาที่นี่ พวกเขาทำตามเจตนารมณ์ของนโยบายของเราอย่างครบถ้วน ดังนั้น เราจึงดีใจที่เห็นพวกเขาสามารถกลับเข้ามาที่นี่ได้แล้ว”
เวลานี้ออสเตรเลียยืนยันพบผู้ติดเชื้อโควิด-19 มากกว่า 50 คน โดยเป็นทารกของผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งติดเชื้อไวรัสหลังจากเดินทางจากอิหร่านกลับสู่เซาท์ออสเตรเลีย
นายกรัฐมนตรี สกอต์ มอร์ริสัน ในวันศุกร์ (6 มี.ค.) ขยายมาตรการแบนด้านการเดินทาง โดยห้ามชาวต่างชาติที่เดินทางมาจากเกาหลีใต้ เข้าประเทศแล้ว จากเดิมที่ครอบคลุมเฉพาะจีนและอิหร่าน