รอยเตอร์/เอเจนซีส์ - S&P 500 และดาวโจนส์ ร่วงเป็นประวัติศาสตร์ในวันจันทร์(24 ก.พ)ตกกว่าพันจุดเป็นครั้งแรกในรอบ 2 ปีหลังวิกฤตโรคโควิด-19พ่นพิษนอกประเทศจีน บรรดานักลงทุนแห่ขายทรัพย์สินที่มีความเสี่ยงสูง หนีไปลงทุนในทองคำและพันธบัตรสหรัฐฯที่ปลอดภัยแทน
รอยเตอร์รายงานเมื่อวานนี้(24 ก.พ)ว่า ทั้งนี้พบว่า S&P 500 ที่เป็นตัวแทนกว่า 44% ของตลาดทุนทั่วโลกเสียไปร่วม 927 พันล้านดอลลาร์แค่เฉพาะวันจันทร์(24) และอีก 1.33 ล้านล้านดอลลาร์นับตั้งแต่ปิดสูงเมื่อวันพุธ(19) อ้างอิงจาก โฮวาร์ด ซิลเวอร์แบลตต์( Howard Silverblatt) นักวิเคราะห์อาวุโสประจำบริษัท S&P Dow Jones Indices
ทั้งนี้พบว่า S&P และหุ้นบลูชิปของดาวขึ้นเป็นลบเป็นเวลาร่วมปีมาจนถึงวันนี้และดาวโจนส์ได้หล่นลงกว่า 1,000 จุดในวันเดียวกันเป็นครั้งที่ 3 ในรอบประวัติศาสตร์
ส่วนตลาดแนสแดค(Nasdaq) ที่มีบริษัทไฮเทคอยู่เป็นจำนวนมากตกไป 3.71% ถือเป็นการตกครั้งใหญ่ที่สุด
อัลญะซีเราะฮ์รายงานเพิ่มเติมว่า การตกของดัชนีอุตสาหกรรมดาวโจนส์ (Dow Jones Industrial Average) ตกไปกว่า 800 จุดช่วงในการเปิดซื้อขายที่นิวยอร์ก ส่วน S&P 500 ร่วงไป 3% หลังจากมีเคสไวรัสโคโรนาพุ่งในอิหร่าน อิตาลี และเกาหลีใต้ช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา และทำให้มีการวิตกว่าผลกระทบจากโรคโควิด-19นั้นอาจใหญ่กว่าที่คาดคิด ต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจของโลก
ส่วนสื่อวอลสตรีทเจอร์นัลชี้ว่า การที่ตลาดหุ้นทั่วโลกตกครั้งร้ายแรงที่สุดในรอบ 2 ปีในวันจันทร์(24)ทำให้นักลงทุนหันไปหาพันธบัตรรัฐบาลเพื่อความปลอดภัย ส่งผลทำให้เงินปันผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯอายุ 10 ปีตกลงไป 10.2 BPS ไปอยู่ที่ 1.369% ถือว่าระดับที่ต่ำสุดนับตั้งแต่ปี 2016 อ้างอิงจากรอยเตอร์
เพิ่มความวิตกกังวลให้มากขึ้นพบว่าทางวาณิชธนกิจชื่อดังสหรัฐฯโกลด์แมน แซคส์ในวันอาทิตย์(23) ได้หั่นค่าประมาณการเติบโตของสหรัฐฯ พร้อมกับคาดว่าจะมีผลกระทบอย่างร้ายแรงมากขึ้นจากวิกฤตโรคระบาด
อย่างไรก็ตามประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ ที่ในเวลานี้อยู่ในอินเดียออกมาแสดงความเห็นผ่านทางทวิตเตอร์ว่า “โคโรนาไวรัสนั้นสามารถควบคุมได้ในสหรัฐฯ” และเสริมว่า “ตลาดหลักทรัพย์เริ่มดีขึ้นสำหรับผม”