(เก็บความจากเอเชียไทมส์ www.asiatimes.com)
Why the US is losing its war against Huawei
by David P. Goldman
17/02/2020
ความล้มเหลวอย่างมโหฬารทางด้านข่าวกรอง ได้เพิ่มความซับซ้อนให้แก่การเปลี่ยนแปลงนโยบายกลับไปกลับมาของกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ รวมทั้งยังทำให้พวกชาติพันธมิตรรายสำคัญๆ พากันปฏิเสธไม่ฟังคำร้องขอของโดนัลด์ ทรัมป์ ที่ให้หลีกเลี่ยงการใช้ระบบ 5 จีของหัวเว่ย
ภายหลังต้องอับอายขายหน้าจากการที่สหราชอาณาจักรปฏิเสธไม่ยอมกีดกันขับไสหัวเว่ย ให้ออกไปจากการเข้าร่วมจัดทำเครือข่ายบรอดแบนด์ 5จี ของประเทศนั้น คณะบริหารประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ก็ยิ่งทุ่มเทใช้ความพยายามในการหยุดยั้งจีน โดยที่ลู่ทางโอกาสประสบความสำเร็จนั้นช่างน่าหดหู่เต็มที
มาตรการตอบโต้ในคราวนี้ของฝ่ายอเมริกัน มีดังเช่น การฟ้องร้องหัวเว่ยโดยอาศัยบทบัญญัติในกฎหมายปราบปรามองค์กรที่เกิดขึ้นจากอิทธิพลของพวกฉ้อฉลและองค์กรทุจริต (Racketeer-Influenced and Corrupt Organization ใช้อักษรย่อว่า RICO) ซึ่งเป็นรัฐบัญญัติที่จัดร่างขึ้นมาเพื่อใช้ต่อสู้ปราบปรามพวกแก๊งอาชญากรรม นอกจากนั้นยังรวมไปถึงข้อเสนอให้ออกกฎระเบียบที่จะหยุดยั้งการขายส่วนประกอบสหรัฐฯใดๆ ก็ตามทีให้แก่หัวเว่ย ตลอดจน แซดทีอี กิจการสื่อสารโทรคมนาคมใหญ่อันดับ 2 ของจีน หากการผลิตส่วนประกอบดังกล่าวมาจากเทคโนโลยีอเมริกันตั้งแต่ 10% ขึ้นไป
ไม่เพียงเท่านี้ สิ่งที่เสนอกันออกมา ยังมี การสั่งห้ามขายเครื่องยนต์ไอพ่นสำหรับติดตั้งในเครื่องบินโดยสารพลเรือน อย่างที่ทั้งบริษัทเจเนอรัล อิเล็กทริก (General Electric หรือ GE) ของสหรัฐฯ และบริษัท ซาฟราน (Safran) ของฝรั่งเศส กำลังจำหน่ายให้แก่จีนต่อเนื่องเรื่อยมานับตั้งแต่ปี 2014 แล้ว ทั้งนี้ข้อเสนอนี้ถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าเป็นมาตรการในการทำสงครามเศรษฐกิจซึ่งไม่มีเหตุผลความชอบธรรมในด้านความมั่นคงแห่งชาติใดๆ มารองรับเอาเลย
ในเส้นทางการดำเนินของเหตุการณ์ต่างๆ ของอเมริกัน ไม่ได้มีกี่เรื่องนักหรอกที่มีการพูดจาโอ่อวดกันอย่างมากมายเช่นนี้ ทว่าบังเกิดผลออกมาแค่เล็กน้อยเท่านี้
เวลาเดียวกัน โรเบิร์ต โอไบรอัน (Robert O’Brien) ที่ปรึกษาฝ่ายความมั่นคงแห่งชาติของสหรัฐฯ ได้บอกกับวอลล์สตรีทเจอร์นัลเมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา [1] ว่า สหรัฐฯได้ค้นพบประตูหลังลับๆ ภายในอุปกรณ์ของหัวเว่ย ซึ่งทำให้บริษัทจีนรายนี้สามารถแอบสอดแนมสืบความลับการสื่อสารของฝ่ายตะวันตกได้ ทางฝ่ายหัวเว่ยได้ปฏิเสธข้อกล่าวหานี้ พร้อมเรียกร้องให้สหรัฐฯนำเอาข้อมูลที่ว่ามาแสดงอย่างเปิดเผยต่อสาธารณชน
ปรากฏว่า ข้อกล่าวหานี้ของสหรัฐฯก่อให้เกิดเสียงหัวเราะเยาะจากต่างแดน สเตฟาน ริชาร์ด (Stephane Richard) ซีอีโอของ ออเรนจ์ (Orange) บริษัทสื่อสารโทรคมนาคมระดับนานาชาติของฝรั่งเศส พูดไว้เมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ว่า “ผมมีความสนใจอยากที่จะได้เห็นหลักฐาน แล้วมันชวนให้ผมย้อนนึกไปถึงเรื่องอาวุธทำลายร้ายแรง (weapons of mass destruction) ในช่วงสงครามอิรัก” (เมื่อปี 2003คณะบริหารของประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู. บุช ของสหรัฐฯ สั่งกองทัพยกกำลังเข้ารุกรานทำสงครามกับอิรัก โดยเหตุผลข้ออ้างสำคัญคือ เนื่องจากระบอบปกครองซัดดัม ฮุสเซน ของอิรัก มี “อาวุธทำลายร้ายแรง” อยู่ในครอบครอง แต่ปรากฏว่า แม้กระทั่งยึดครองอิรักเอาไว้หลายปี สหรัฐฯก็ไม่เคยสามารถแสดงหลักฐานยืนยันข้ออ้างนี้ได้เลย ดูเพิ่มเติมได้ที่ https://en.wikipedia.org/wiki/Iraq_and_weapons_of_mass_destruction --ผู้แปล )
ส่วน แดร์ ชปิเกล (Der Spiegel) นิตยสารรายสัปดาห์ชื่อดังของเยอรมนี พาดหัวรายงานข่าวเรื่องนี้ของตนด้วยวลีว่า “ประตูหลัง-ที่มีแต่สหรัฐฯเท่านั้นซึ่งสามารถมองเห็นได้”
ณ เวทีการประชุมความมั่นคงประจำปีซึ่งจัดขึ้นที่นครมิวนิก ทางภาคใต้ของเยอรมนี เมื่อช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา พวกเจ้าหน้าที่อเมริกัน อันมีทั้ง รัฐมนตรีกลาโหม ไมค์ เอสเปอร์ (Mike Esper) และประธานสภาผู้แทนราษฎร แนนซี เปโลซี (Nancy Pelosi) รวมอยู่ด้วย ได้กล่าวเตือนบรรดาประเทศยุโรปให้หลีกหนีอย่าได้คบค้ากับหัวเว่ย “ตัวอย่างเช่น การพึ่งพาอาศัยพวกผู้จำหน่าย 5 จีสัญชาติจีน อาจกลายเป็นการทำให้บรรดาระบบที่สำคัญยิ่งยวดของเหล่าหุ้นส่วนของเรา บังเกิดจุดอ่อนที่ง่ายต่อการถูกรบกวน, การถูกชักใยหาประโยชน์, และการถูกทำจารกรรม” เอสเปอร์ บอก “มันยังสามารถที่จะสร้างอันตรายให้แก่ศักยภาพในการสื่อสารของเรา ตลอดจนศักยภาพในการแลกเปลี่ยนแบ่งปันข่าวกรองของเรา และเมื่อขยายออกไปแล้ว ก็คือต่อเหล่าพันธมิตรของเราอีกด้วย”
ทว่า “โพลิติโค” (Politico) สื่อมวลชนด้านข่าวในสหรัฐฯ พาดหัวรายงานข่าวเรื่องนี้ของตนเอาไว้ว่า “ยุโรปทำหูทวนลมไม่ฟังเสียงเตือนสหรัฐฯเรื่อง 5จี จีน”
ผลด้านกลับที่ใหญ่โต
ผลด้านกลับของการป่าวร้องเหล่านี้ ที่มีต่อชื่อเสียงเกียรติคุณของอเมริกัน รวมทั้งที่จะก่อความเสี่ยงให้แก่บริษัทอเมริกันรายสำคัญๆ นั้น มีอยู่มากมายมหาศาล ถ้าหากสหรัฐฯเอาจริงกระทำตามการข่มขู่ที่ลือกัน ในเรื่องระงับการส่งเครื่องยนต์ไอพ่นให้แก่จีน อันจะส่งผลกลายเป็นการระงับยับยั้งโครงการของจีน ซึ่งมุ่งพัฒนาเครื่องบินโดยสารไอพ่นพลเรือนที่จัดสร้างขึ้นภายในประเทศ โดยการออกแบบอิงอาศัยเครื่องยนต์จีอี/ซาฟรานเป็นหลัก มันก็จะนำพาสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯกับจีน ให้เกิดการเปลี่ยนแปลงลักษณะและขนาดขอบเขตจนผิดแผกไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง บริษัทซาฟรานของฝรั่งเศส คือทรัพย์สินความมั่นคงแห่งชาติชิ้นหนึ่งของประเทศนั้น และการบีบบังคับเล่นงานกิจการฝรั่งเศสรายนี้อย่างไม่เป็นธรรม จะกลายเป็นการผลักไสปารีสให้เข้าไปหาปักกิ่ง เวลาเดียวกัน ความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นได้กับพวกบริษัทสหรัฐฯชั้นนำ เป็นต้นว่า โบอิ้ง—ซึ่งขายเครื่องบินราวหนึ่งในสี่ของบริษัทให้แก่จีน ตลอดจนพวกบริษัทออกแบบชิประดับท็อปของสหรัฐฯ น่าจะอยู่ในระดับหายนะ
ตั้งแต่หลังสงครามเย็นเป็นต้นมา มาตรการที่กำลังดำริขึ้นมาเหล่านี้ ไม่มีอันไหนเลยซึ่งมีตัวอย่างว่าได้เคยถูกนำเอามาใช้กัน แต่ความคิดที่จะนำพวกมันมาใช้ครั้งนี้ ดูเหมือนมีต้นตอมาจากอารมณ์ความรู้สึกหงุดหงิดผิดหวังในวอชิงตัน ภายหลังที่เหล่าพันธมิตรของอเมริกาแทบทั้งหมด –ยกเว้น อิสราเอล, ญี่ปุ่น, และออสเตรเลีย-- พากันเพิกเฉยไม่แยแสต่อข้อเรียกร้องอันแข็งกร้าวของฝ่ายอเมริกัน ที่ให้กีดกันขับไสหัวเว่ย ออกจากการมีบทบาทจัดทำบรอดแบนด์ไร้สาย 5จี
รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ ไมค์ พอมเพโอ (Mike Pompeo) ตำหนิบ่นว่านายกรัฐมนตรีสหราชอาณาจักร บอริส จอห์นสัน (Boris Johnson) อย่างเปิดเผยให้สาธารณชนรับรู้ ในเรื่องที่จอห์นสันตัดสินใจอนุญาตให้หัวเว่ยสร้างบางส่วนของเครือข่าย 5 จีของประเทศตนได้ ทั้งๆ ที่กระทั่งประธานาธิบดีทรัมป์ก็ได้นำตัวเองเข้าก้าวก่ายแทรกแซงการพิจารณาเรื่องนี้ของนายกรัฐมนตรีสหราชอาณาจักรด้วยทว่าไม่บังเกิดผลอันใด ไฟแนนเชียลไทมส์ (Financial Times) สื่อมวลชนด้านข่าวการเงินชื่อดังของสหราชอาณาจักร รายงานเอาไว้เมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ [2] ว่า ประธานาธิบดีทรัมป์ได้ “แสดงความโกรธเคือง” ในตอนที่โทรศัพท์ไปพูดคุยกับจอห์นสัน ต่อมาในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ เพื่อเป็นการตอบโต้ จอห์นสันได้บอกเลื่อนการเดินทางไปเยือนทำเนียบขาวตามที่มีการวางแผนเอาไว้ [3]
ขณะเดียวกัน รัฐบาลเยอรมันก็ได้ปฏิเสธไม่รับฟังข้อคัดค้านต่างๆ ของสมาชิกรัฐสภาเยอรมันในฝ่ายพรรครัฐบาลกลุ่มหนึ่ง ซึ่งไม่ต้องการให้หัวเว่ยมีส่วนเกี่ยวข้องในการจัดทำระบบ 5จี ของแดนดอยช์
สำหรับความเคลื่อนไหวในการใช้อำนาจตามกฎหมาย RICO เวลานี้ยังไม่เป็นที่ชัดเจนว่าจะสามารถขัดขวางการดำเนินงานของหัวเว่ยได้อย่างไรบ้าง นอกเหนือจากการนำเอาพวกลูกจ้างพนักงานรายบุคคลของบริษัทจีนแห่งนี้มาลงโทษอย่างกฎหมายอย่างรุนแรงสุดโต่ง แต่มาตรการก่อนๆ ที่สหรัฐฯเคยนำมาใช้ เป็นต้นว่า การควบคุมจำกัดการส่งออกชิ้นส่วนประกอบซึ่งมีคอนเทนต์เนื้อในของสหรัฐฯไปให้แก่หัวเว่ย ซึ่งได้ประกาศบังคับใช้มาตั้งแต่เมื่อเดือนพฤษภาคม 2019 ปรากฏว่าล้มเหลวไม่สามารถทำให้หัวเว่ยต้องชะลอการจัดส่งอุปกรณ์ 5จี และเครื่องโทรศัพท์สมาร์ตโฟนของตนได้ ขณะที่ยักษ์ใหญ่จีนรายนี้ได้หันไปหาซัปพลายเออร์ชาวญี่ปุ่น, ชาวไต้หวัน, และอื่นๆ เพื่อทดแทนซัปพลายเออร์อเมริกัน เวลานี้หัวเว่ยสามารถที่จะผลิตทั้งสถานีฐาน 5จี และสมาร์ตโฟน โดยที่ไม่มีการใช้ชิ้นส่วนประกอบของสหรัฐฯใดๆ
เมื่อปลายเดือนมกราคมที่ผ่านมา กระทรวงกลาโหมสหรัฐฯได้วีโต้คัดค้านข้อเสนอจากกระทรวงพาณิชย์ ที่จะบังคับใช้กฎห้ามจำหน่ายชิ้นส่วนประกอบที่มีคอนเทนต์เนื้อในของสหรัฐฯตั้งแต่ 10% ขึ้นไปแก่ หัวเว่ย และ แซดอีที ด้วยความประสงค์ที่จะป้องกันไม่ให้พวกบริษัทต่างประเทศซึ่งกำลังใช้เทคโนโลยีอเมริกันอยู่ ส่งสินค้าไปขายให้บริษัทจีนเหล่านี้
แลร์รี คุดโลว์ (Larry Kudlow) ที่ปรึกษาฝ่ายเศรษฐกิจของทำเนียบขาว บอกกับวอลล์สตรีเจอร์นัล เมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ว่า เขาสนับสนุนการคัดค้านของเพนตากอน เพราะ “เราไม่ได้ต้องการที่จะทำให้พวกบริษัทยิ่งใหญ่ของเราต้องออกจากธุรกิจ”
ทว่ามาถึงเมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ สื่ออเมริกันรายงานข่าวว่า เพนตากอนได้เปลี่ยนใจเสียแล้ว และเวลานี้หันมาสนับสนุนการห้ามอย่างเข้มงวดดุเดือดยิ่งขึ้นในเรื่องชิ้นส่วนประกอบที่จะสามารถส่งออกไปจำหน่ายให้หัวเว่ยได้ --เห็นได้ชัดทีเดียวว่า นี่เป็นตอบสนองต่ออารมณ์ความรู้สึกที่กำลังเกิดการเปลี่ยนแปลงในทำเนียบขาว
บริษัทต่างๆ จะ “เอาของเล่นของพวกเขาโยกย้ายไปอยู่ที่อื่น”
บริษัทสหรัฐฯบางแห่งนั้น จะยังไม่ออกไปจากธุรกิจหรอก หากแต่พวกเขาจะออกไปจากสหรัฐฯ เมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ นิวยอร์กไทมส์ [4] รายงานว่า “มูลนิธิ RISC-V” (RISC-V Foundation) มูลนิธิไม่แสวงหากำไรซึ่งได้สร้างมาตรฐานซอฟต์แวร์แบบโอเพ่น-ซอร์สสำหรับพวกชิปที่ให้พลังแก่บรรดาสมาร์ตโฟนและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อื่นๆ ได้แถลงยอมรับในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมาว่า ได้ตัดสินใจเลือกโยกย้ายกิจการของตนออกจากรัฐเดลาแวร์ ไปอยู่ที่สวิตเซอร์แลนด์ สืบเนื่องจากพวกสมาชิกของมูลนิธิมีความวิตกกังวลเกี่ยวกับกฎระเบียบที่เข้มงวดกวดขันยิ่งขึ้นในสหรัฐฯ”
นิวยอร์กไทมส์รายงานต่อไปด้วยว่า “ถ้าคณะบริหารชุดนี้ยังคงเดินหน้าต่อไปตามวิถีโคจรปัจจุบันแล้ว เราก็จะได้เห็นการแปรพักตร์เพิ่มมากขึ้นอีก ทั้งในส่วนของบริษัทต่างๆ และในส่วนของนักวิทยาศาสตร์ต่างๆ” นี่เป็นคำกล่าวของ สกอตต์ โจนส์ (Scott Jones) นักวิจัยที่ไม่ได้อยู่ประจำ (nonresident fellow) ซึ่งทำงานให้กับ ศูนย์สติมสัน (Stimson Center) “พวกเขาจะเอาของเล่นของพวกเขาไป แล้วพวกเขาก็จะโยกย้ายไปอยู่ที่อื่น และระบบเศรษฐกิจอื่นๆ ก็จะได้ประโยชน์จากเรื่องนี้”
ควอลคอมม์ (Qualcomm), เอ็นวิเดีย (Nvidia), และบริษัทเซมิคอนดักเตอร์สหรัฐฯแห่งอื่นๆ หารายรับของพวกเขาแทบทั้งหมดในเอเชีย หากพวกเขาไม่ได้รับอนุญาตให้จำหน่ายให้แก่จีน พวกเขาก็จะสูญเสียธุรกิจส่วนใหญ่ๆ ส่วนหนึ่งของพวกเขาไป ไม่เพียงเท่านั้น สถานการณ์ยังอาจจะเลวร้ายยิ่งกว่านี้ด้วยซ้ำไป นั่นคือ เวลานี้หัวเว่ยมีการผลิตชิปเซ็ตสมาร์ตโฟน อย่างเช่น ซีรีส์ คิริน (Kirin series) ที่สามารถแข่งขันได้อย่างซึ่งหน้ากับผลิตภัณฑ์ที่เสนอโดยควอลคอมม์ รวมทั้งหัวเว่ยยังผลิตโปรเซสเซอร์ “แอสเซนด์” (Ascend) สำหรับใช้ในเครื่องเซิร์ฟเวอร์ ที่ชิงชัยต่อกรกับของ เอ็นวิเดีย ได้
ตามความเห็นของนักวิเคราะห์ชาวจีนผู้หนึ่ง หัวเว่ยอาจจะหั่นราคาชิปเซ็ตของตนลงมาได้ถึง 30% ในการทำสงครามราคากับพวกบริษัทอเมริกัน ซึ่งจะเป็นการผลักไสบริษัทเหล่านี้ให้ออกไปจากตลาดเอเชียกันทั้งหมดทีเดียว ในกรณีเช่นนี้ นักวิเคราะห์รายนี้กล่าวว่า เอ็นวีเดีย จะตกอยู่ในสภาพหมดเงินสดภายในระยะเวลา 18 เดือน ส่วน ควอลคอมม์ จะหมดเงินสดใน 24 เดือน อันเป็นการบังคับให้พวกเขาต้องปิดการดำเนินงานด้านการวิจัยและการพัฒนา และนี่จะเป็นเครื่องหมายบ่งบอกจุดอวสานของความสำคัญของอเมริกันในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ซึ่งสหรัฐฯเป็นผู้สร้างขึ้นมา
มีรายงานว่า มาตรการที่ยังมีเสียงโต้แย้งกันอยู่ในเรื่องห้ามจำหน่ายเครื่องยนต์เครื่องบินไอพ่นให้แก่จีนนั้น จะมีการหารือถกเถียงกันในการประชุมคณะรัฐมนตรีวันที่ 28 กุมภาพันธ์นี้ที่กรุงวอชิงตัน โดยที่ เจเนอรัล อิเล็กทริก และบริษัทสหรัฐฯแห่งอื่นๆ กำลังล็อบบี้กันอย่างดุเดือดเข้มข้นเพื่อคัดค้านข้อเสนอนี้ ซึ่งไม่ได้มีวัตถุประสงค์ด้านความมั่นคงแห่งชาติที่ชัดเจนเอาเลยด้วยซ้ำ เจ้าหน้าที่สหรัฐฯบางคนเสนอแนะว่า จีนอาจจะนำเอาเครื่องยนต์ฝรั่งเศส-อเมริกันพวกนี้มาทำวิศวกรรมย้อนรอยเพื่อถอดแบบลอกเลียน ทว่าทาง จีอี ชี้ว่าจีนได้จัดซื้อเครื่องยนต์เช่นนี้มาตั้งแต่เมื่อปี 2014 แล้ว และไม่มีความจำเป็นใดๆ ที่จะต้องหาเครื่องใหม่ๆ มาแกะรอยอะไรอีก
ข้อเสนอเช่นนี้มีแต่จะถูกอ่านว่าเป็นความพยายามที่จะกีดกันไม่ให้จีนพัฒนาเทคโนโลยี กระทั่งเทคโนโลยีตามแบบแผนธรรมดาชนิดหนึ่งเท่านั้น ผลลัพธ์ที่น่าจะเกิดขึ้นก็คือ คำสั่งซื้อเครื่องบินของจีนจะถูกส่งไปที่ แอร์บัสของยุโรป และเหินห่างออกจากโบอิ้ง ซึ่งเวลากำลังเผชิญความยากลำบากทางการเงินอยู่แล้ว ภายหลังการล้มครืนของโครงการเครื่องบินโบอิ้ง 737 แมกซ์
ความล้มเหลวทางข่าวกรองที่เสียหายถึงขั้นหายนะ
คณะบริหารทรัมป์กำลังส่งสัญญาณที่ขัดแย้งกันเองในเรื่องที่ว่าตนมีเจตนารมณ์อย่างไรกันแน่ต่อหัวเว่ย อย่างที่การกลับไปกลับมาของเพนตากอนในเรื่องข้อเสนอให้จำกัดลดทอนการจำหน่ายชิ้นส่วนประกอบที่มีคอนเทนต์เนื้อในของสหรัฐฯได้แสดงให้เห็น ทำเนียบขาวเชื่อว่าตนสามารถโน้มน้าวชักชวนรัฐบาลสหราชอาณาจักรให้เข้าร่วมการผลักไสกีดกันหัวเว่ย แล้วยังคงล้มเหลวไม่สามารถจับให้มั่นๆ ได้ว่าเกิดอะไรขึ้นมา แม้กระทั่งหลังจากลอนดอนได้ดำเนินการตัดสินใจของตนไปแล้ว เรื่องนี้ส่อแสดงให้เห็นถึงความบกพร่องล้มเหลวทางด้านข่าวกรองในสัดส่วนที่ร้ายแรงถึงขั้นวิบัติหายนะทีเดียว เมื่อพิจารณาจากในส่วนของสหรัฐฯ
หัวเว่ยไม่เพียงแต่จำหน่ายอุปกรณ์สื่อสารโทรคมนาคมคุณภาพสูงแต่ราคาไม่แพงให้แก่พวกผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือของสหราชอาณาจักรมานานแล้วเท่านั้น บริษัทยังทำให้ตนเองกลายเป็นส่วนหนึ่งของโครงสร้างวิศวกรรมการสื่อสารโทรคมนาคมสหราชอาณาจักรอีกด้วยเริ่มตั้งแต่เมื่อปี 2011 ตอนที่หัวเว่ยว่าจ้าง จอห์น ซัฟโฟล์ก (John Suffolk) ประธานเจ้าหน้าที่ความมั่นคงด้านข้อมูลข่าวสาร (Chief Information Security Officer) ของรัฐบาลสหราชอาณาจักร ให้มาเป็นหัวหน้าใหญ่คุมธุรกิจในสหราชอาณาจักรของบริษัท ผู้บริหารอาวุโสคนหนึ่งของหัวเว่ยเคยเล่าให้ผมฟังว่า ความสัมพันธ์ที่มีบริษัทมีอยู่กับสหราชอาณาจักรนั้นถือว่ายอดเยี่ยมที่สุดในบรรดาประเทศตะวันตกทั้งหลาย ขณะที่ จีซีเอชคิว (GCHQ ย่อมาจาก Government Communications Headquarters กองบัญชาการการสื่อสารของรัฐบาล) หน่วยงานของสหราชอาณาจักรที่เทียบได้กับสำนักงานความมั่นคงแห่งชาติ (National Security Agency) ของสหรัฐฯ ได้ใช้เวลาเป็นปีๆ ในการวิพากษ์วิจารณ์โค้ดของหัวเว่ย โดยบ่อยครั้งเรียกร้องให้ทำการปรับปรุงแก้ไขให้ดีขึ้น ซึ่งบริษัทจีนแห่งนี้ก็เร่งรีบสนองให้
ในปี 2012 หัวเว่ยประกาศว่าจะลงทุนเป็นจำนวนเงิน 1,300 ล้านปอนด์ในสหราชอาณาจักร [5] ซึ่งได้รับการยกย่องชมเชยอย่างสูงจาก เดวิด คาเมรอน (David Cameron) นายกรัฐมนตรีในเวลานั้น ยังมีรายงานฉบับหนึ่งของหัวเว่ยที่ชี้ว่า ในปี 2018 บริษัท “ได้ลงทุนเป็นมูลค่า 112 ล้านปอนด์ในด้านการวิจัยและการพัฒนา ซึ่งกำลังว่าจ้างนักวิจัยกว่า 300คนในสหราชอาณาจักร หัวเว่ยยังมีความร่วมมือกับมหาวิทยาลัยและสถาบันวิจัยต่าง 35 แห่ง” ทั้งนี้ตามที่ระบุเอาไว้ในรายงานฉบับนี้ [6]
หัวเว่ยในปัจจุบันว่าจ้างชาวต่างประเทศประมาณ 50,000 คน ส่วนใหญ่เป็นนักวิจัย ให้ทำงานอยู่ในศูนย์วิจัยต่างๆ ทั่วโลกจำนวนมากกว่า 20 แห่ง อีกทั้งยังให้การอุดหนุนกิจการวิจัยแห่งอื่นๆ เป็นพันๆ แห่ง หัวเว่ยเป็นบริษัทจีนแห่งแรกซึ่งมีปฏิสัมพันธ์กับชนชั้นนำทางวิศวกรรมและทางวิทยาศาสตร์ของโลกตะวันตก และด้วยความช่วยเหลือจากผู้คนเหล่านี้ บริษัทก็สามารถยึดฉวยฐานะนำทางเทคโนโลยีในระดับสามารถบัญชาการวงการเอาไว้ได้
เรื่องที่สหราชอาณาจักรจะร่วมมือกับหัวเว่ยต่อไปนั้น เป็นสิ่งที่ไม่เคยมีข้อสงสัยข้องใจเลย อันเป็นการสะท้อนคำคมในตำราพิชัยสงครามซุนวู ที่ว่า “ทุกๆ สมรภูมิ รู้ว่าแพ้หรือชนะกันตั้งแต่ก่อนการสู้รบเสียอีก” หัวเว่ยได้สร้างความสัมพันธ์กับสหราชอาณาจักรอย่างเปิดกว้าง และกลายเป็นส่วนหนึ่งของฐานรากทางวิศวกรรมสหราชอาณาจักรด้วยการลงทุนในทางยุทธศาสตร์ อีกทั้งมีการอนุโลมยอมตามอย่างชนิดผ่านการคาดคำนวณเอาไว้แล้ว กับทางหน่วยงานความมั่นคงของสหราชอาณาจักร
สหรัฐฯไม่สามารถมองเห็นได้ว่าหัวเว่ยกำลังเข้ามา ก็ด้วยเหตุผลเดียวกันกับที่ไม่มีหน่วยงานอเมริกันใดๆ เลยเคยพิจารณาถึงความเป็นไปได้ที่ว่าฐานทัพเรือที่อ่าวเพิร์ล ฮาร์เบอร์ อาจตกเป็นเป้าหมายโจมตีของฝ่ายญี่ปุ่นในเดือนธันวาคม 1941 หรือกรณีที่กองทัพสหราชอาณาจักรไม่เคยพิจารณาถึงความเป็นไปได้ที่ญี่ปุ่นจะยกพลขึ้นบกเข้าโจมตีสิงคโปร์ในปี 1942 นั่นแหละ พวกหน่วยงานข่าวกรองของอเมริกานั้นก็เพียงแต่ไม่เคยขบคิดพิจารณาเลยว่า ฝ่ายจีนจะมีศักยภาพความสามารถในการควบคุมตลาดโลกในเทคโนโลยีซึ่งกำลังกลายเป็นตัวเปลี่ยนเกม ในทำนองเดียวกัน เวลานี้วอชิงตันก็ไม่เคยขบคิดพิจารณาเลยว่า จีนนั้นได้พัฒนาศักยภาพความสามารถในเรื่องเซมิคอนดักเตอร์จนมากเพียงพอที่จะผลิตชิปไฮเอนด์ของตนเองขึ้นมา และไม่แยแสกับการสั่งห้ามส่งออกของฝ่ายอเมริกัน
มีหลักฐานบ่งบอกให้ทราบว่า โดนัลด์ ทรัมป์ กำลังสนใจรับฟังคำบรรยายสรุปจากพวกหน่วยงานข่าวกรองพวกเดียวกันกับที่ได้เพิกเฉยละเลยต่อการท้าทายจากจีนจวบจนกระทั่งมันสายเกินไปเสียแล้วที่จะหยุดยั้งแดนมังกร –และก็ไม่ได้ต้องการอะไรมากไปกว่าการหาทางโยกย้ายคำประณามกล่าวโทษ ให้พ้นออกไปจากความบกพร่องของพวกเขาเองเท่านั้น ผลลัพธ์ที่ออกมาก็คือความน่าอับอายอย่างควรแก่การก้มหน้าตัวงอสำหรับสหรัฐอเมริกา และอันตรายที่อาจจะเกิดการสะดุดติดขัดทางเศรษฐกิจอย่างร้ายแรง
เชิงอรรถ
[1]https://www.wsj.com/articles/u-s-officials-say-huawei-can-covertly-access-telecom-networks-11581452256
[2]https://www.ft.com/content/a70f9506-48f1-11ea-aee2-9ddbdc86190d
[3]https://www.washingtonexaminer.com/news/boris-johnson-postpones-white-house-visit-after-nasty-phone-spat-with-trump-over-huawei
[4]https://www.nytimes.com/2020/02/16/business/economy/us-china-technology.html
[5]https://www.bbc.com/news/av/business-19563267/chinese-giants-huawei-to-invest-13bn-in-uk-over-five-years
[6]https://www.huawei.com/uk/press-events/news/uk/2019/huawei-investment-commitments-in-uk-leads-to-billions-in-benefits-to-the-economy