จีนไฟเขียวอังกฤษส่งเครื่องบินขนพลเมืองออกจากอู่ฮั่นหนีวิกฤตไวรัสตอนเช้าวันศุกร์

เอเอฟพี - อังกฤษได้รับไฟเขียวจากทางการจีน สำหรับพาพลเมืองของตนเองและพลเมืองต่างชาติอีกจำนวนหนึ่งออกจากอู่ฮั่น ศูนย์กลางการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ จากการเปิดเผยของลอนดอนในวันพฤหัสบดี(30ม.ค.)

โดมินิก ราบ รัฐมนตรีต่างประเทศอังกฤษ เปิดเผยว่าเที่ยวบินเช่าเหมาลำจะเดินทางออกมาในตอนเช้าวันศุกร์(31ม.ค.)ตามเวลาท้องถิ่น หลังได้รับการอนุญาตที่จำเป็นจากปักกิ่ง

"เรายินดีที่จะบอกว่าเราได้รับการยืนยันจากเจ้าหน้าที่จีนว่าเที่ยวบินอพยพจากสนามบิอู่ฮั่นสู่อังกฤษ สามารถออกเดินทางได้ตอน 05.00น.ตามเวลาท้องถิ่นของวันศุกร์ที่ 31 มกราคม" เขากล่าว "สถานทูตของเราในปักกิ่งและคณะทำงานด้านกงสุลยังคงติดต่อประสานงานกันอย่างใกล้ชิดกับพลเมืองอังกฤษที่อยู่ในพื้นที่ เพื่อรับประกันว่าพวกเขาได้รับข้อมูลล่าสุดที่จำเป็น"

เบื้องต้นลอนดอนหวังเที่ยวบินอพยพจะสามารถออกจากเมืองอู่ฮั่นได้ในตอนเช้าวันพฤหัสบดี(30ม.ค.)ตามเวลาอังกฤษ แต่ในช่วงเย็นวันพุธ(29ม.ค.) พวกเขาจำเป็นต้องแจ้งพลเมืองที่เฝ้ารอคอยด้วยความทุกข์มานว่าคงต้องเลื่อนการเดินทางออกไป

อย่างไรก็ตามโฆษกของนายกรัฐมนตรีบอริส จอห์นสัน ระบุว่าหลายประเทศก็เจอปัญหาแบบเดียวกัน

โฆษกระบุว่าเที่ยวบินดังกล่าวมีกำหนดลงจอดที่ฐานทัพไบรซ์ นอร์ตัน ของกองทัพอากาศ ซึ่งตั้งอยู่ในเมืองอ็อกซ์ฟอร์ดเชียร์ ทางภาคกลางค่อนไปทางใต้ของอังกฤษ และคนที่อยู่บนเที่ยวบินจะถูกกักกันโรคที่สถานพยาบาลแห่งหนึ่ง ทางภาคตะวันตกเฉียงใต้ของอังกฤษ เป็นเวลา 14 วัน

จากข้อมูลของโฆษก พบว่าจะมีคนราวๆ 200 คนบนเที่ยวบินนี้ ในนั้นรวมถึงชาวต่างชาติ 50 คน ส่วนใหญ่เป็นพลเมืองอียู โดยหลังจากส่งพลเมืองอังกฤษลงเครื่องที่ไบรซ์ นอร์ตันแล้ว เครื่องบินจะมุ่งหน้าสู่สเปนเป็นลำดับต่อไป

มหานครอู่ฮั่นคือแก่นกลางการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ ซึ่งตอนนี้คร่าชีวิตผู้คนไปแล้วมากกว่า 170 ศพและแผ่ลามไปยังชาติต่างๆทั่วโลกแล้วอย่างน้อย 15 ประเทศ

จีนรายงานยอดผู้เสียชีวิตจากเชื้อไวรัสเพิ่มขึ้นวันเดียวมากที่สุดในวันพฤหัสบดี(30ม.ค.) ซ้ำเติมความกังวลแก่ทั่วโลกต่อการแพร่ระบาดของไวรัสมรณะสายพันธุ์นี้ ในขณะที่มีชาวต่างชาติหลายพันคนติดค้างอยู่ในเมืองอู่ฮั่น นับตั้งแต่มันถูกปิดตายเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว

ญี่ปุ่นและสหรัฐฯเป็นประเทศแรกๆที่ส่งเครื่องบินไปรับพลเมืองออกจากอู่ฮั่นเมื่อวันพุธ(29ม.ค.) ขณะที่อังกฤษ, ออสเตรเลีย, นิวซีแลนด์และสิงคโปร์ รวมถึงชาติอื่นๆ ก็มีแผนดำเนินการแบบเดียวกัน